คุณพ่อคุณแม่แทบทุกคนเชื่อว่าการได้เกรดดีๆในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ และทำให้พ่อแม่บางคนตำหนิเด็กๆเมื่อได้เกรดไม่ดี และสั่งให้ตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ในชีวิตจริงเกรดนั้นอาจเป็นเรื่องรองลงมา เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวของเด็กๆ ที่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในโรงเรียน แต่กลับได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ตำแหน่งดีๆ
เวปไซด์ Brightside ได้ลองรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อพยายามตอบคำถามกับเหล่านี้ว่าทำไมนักเรียนที่เรียนไม่ดีกลับประสบความสำเร็จมากกว่านักเรียนที่เรียนดี
พวกเขาไม่สนใจเกรด
ภาพบน เมื่ออายุ 15 ปี ตัวละครถูกปลูกฝังให้ต้องพยายามตั้งแต่เด็ก
ภาพล่าง อายุ 30 ปี เมื่อเติบโตขึ้นความรู้สึกนั้นยังตามมาทำให้ เธอจริงจังเกินไปโดยไม่รู้ตัวและทำให้ไม่มีความสุข
สำหรับนักเรียนที่ตั้งใจเรียนแล้ว เกรดคือสัญญาณแห่งความสำเร็จ เพราะถ้าพวกเขาได้ผลการเรียนดีนั้นหมายความว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามคะแนนทั้งหมดจากการสอบนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตดีได้ทั้งหมดหรอกมันยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของการศึกษาและความคิดสร้างสรรค์ และปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น คุณครู กับอารมณ์ของพวกเขา ส่วนนักเรียนหลังห้องที่คิดว่าเกรดไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาจะไม่มองหาความชื่นชมจากคนอื่นเมื่อทำตามเป้าหมายของเขา แต่จะสนใจว่าชอบสิ่งที่ทำมากแค่ไหน
พวกเขาไม่พยายามทำตัวให้ดูดี
© Julia M Cameron / Pexels
สำหรับนักเรียนแถวหน้ามักจะต้องพยายามสร้างความประทับใจให้กับครูในด้านบวก นี่คือเหตุผลที่พวกเขาพยายามทำตัวกระตือรือร้น แม้ว่าจะไม่สนใจวิชานั้นก็ตาม ส่วนเด็กหลังห้องจะไม่ต้องพยายามทำให้ใครประทับใจตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะเคารพครู แต่พวกเขาก็จะไม่พยายามทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ(คือสิ่งที่ทำเพียงแค่ให้ครูประทับใจ)
และเมื่อโตขึ้นมันทำให้คนเหล่าน้นยึดติดกับรูปแบบพฤติกรรมเหล่านี้ในการสื่อสารกับเจ้านาย
พวกเขารู้จักการประเมินเพื่อนๆ เพื่อหาว่าใครสามารถช่วยงานของเค้าได้
นักเรียนที่เรียนดีหลายคนยึดมั่นในกฎที่ว่า “ถ้าคุณอยากทำ ต้องทำด้วยตัวเอง” นี่เป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการทำแบบนั้นมาตลอด และพยายามควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันนักเรียนหลังห้องก็จะพยายามดูเพื่อนๆ ว่าคนไหนเก่งอะไร และพยายามไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น ในตอนที่แต่ละคนเติบโตขึ้นหากยังยึดติดกับรูปแบบเหล่านี้การทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองยอมทำให้งานออกมาได้อยากที่คิด แต่การทำงานหลาย ๆ คนยอมดีกว่า เพราะมันทั้งประหยัดเวลาและยังมีความคิดที่หลากหลายจากหลาย ๆ คนเพื่อช่วยในการทำงานอีกด้วย
พวกเขายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้© Brett Sayles / Pexels
บางคนยึดติดกับกฎที่ว่า “ฉันจะทำให้ดีที่สุดหรือฉันจะไม่ทำมันเลย” การใช้ชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการประสบความสำเร็จในทุกด้านนั้นไม่สามารถทำได้จริง ผู้คนจะใช้เวลาหลายปีในงานที่ไร้อนาคตแล้วก็พยายามทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ และจะไม่มีวันก้าวกระโดดออกมาและทำสิ่งที่พวกเขาชอบจริงๆ
นี่คือตัวอย่าง “ฉันเคยไปเรียนในโรงเรียนศิลปะ และได้รู้จักกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนนิสัยดี แม้ว่าจะไม่ได้เรียนเก่งอะไรในตอนโรงเรียนมัธยม แต่มันก็ไม่ได้หยุดเขาให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินกราฟฟิตีที่ดีที่สุดในประเทศ ตอนนี้เขาทำงานร่วมกับคนจากทั่วทุกมุมโลก และเขาอาจไม่ค้นพบพรสวรรค์ของเขา หากมัวแต่จริงจังกับการเรียน”
พวกเขาไม่ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันมากเกินไปคำบรรยายภาพ : คุณแม่คะแม๊คขาดเรียนวิชาเลขอีกแล้วนะ – ฉันไห้เธอหยุดเอง เธอมีเรียนภาษาสเปนเพิ่ม
นักเรียนหลังห้องจะไม่ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่สนใจ แต่พวกเขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่พวกเขาสนใจจริงๆ ส่วนนักเรียนเกรด A จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทั้งหมด เพื่อที่จะเป็นนักเรียนที่ดี และนั่นอาจทำให้นักเรียนเกรด A บางคนมักจะเสียเวลาหลายปีไปกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดีหรืองานที่ไม่มีอนาคต นี่คือเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงตรรกะที่นักเรียนหลังห้อง มีเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “ผมย้ายโรงเรียนไป 7โรงเรียน และเป็นนักเรียนที่ไม่ดีมาตลอด เพราะผมไม่อยากเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจ ในบางครั้งผมก็หยุดเรียนคณิตศาสตร์ ในขณะเดียวกันผมก็อ่านสิ่งที่สนใจ นอกจากนี้ผมยังเรียนรู้บางอย่างในอินเทอร์เน็ตเอง ผมใช้เวลาว่างทั้งหมดบนโลกออนไลน์ เล่นคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ หรือเดินออกไปข้างนอก เพื่อค้นหาสิ่งที่ผมชอบและทำมันให้เป็นอาชีพ ซึ่งตอนนี้ผมได้ค้นพบมันแล้วและนั้นคือที่มาของบริษัทที่ทำรายได้ให้ผมในขณะนี้”
พวกเขามีสิ่งอื่นที่อยากทำนอกจากการบ้านซ้าย 15 ปี วิชาภาษาอังกฤษของเธอแย่นะ แต่ผมเก่งดนตรีนะฮะ
ขวา 30 ปี ผมก็ได้เป็นนักร้องอย่างที่คิดไว้
นักเรียนหลังห้องที่ใช้เวลาว่างในแบบที่ต้องการ อยากการอ่านหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี เต้นรำหรือเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ตามที่เราหาข้อมูลมา นักเรียนเกรด A มักจะไม่ค่อยได้ผ่อนคลายเพราะพวกเขามักจะพยายามอ่านหรือทบทวนบทเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งนั้นทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจ น่าเสียดายที่ปัญหานี้ยังคงอยู่กับพวกเขาแม้ว่าจะโตขึ้นก็ตาม พวกเขามักจะรู้สึกกังวลเพราะกลัวว่าจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของคนอื่น
เด็กหลังห้องไม่เพียงแต่ยินดีกับความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะยอมรับความล้มเหลวอีกด้วย
เราทุกคนต่างรู้จักคนที่มีช่วงเวลาแย่ๆ เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลว พวกเขาถือว่าความผิดพลาดเล็กน้อยเป็นปัญหาใหญ่โต และนักเรียนที่ไม่ดีจะคุ้นเคยกับการได้ทั้งเกรดดีและไม่ดี สำหรับพวกเขาเกรดไม่ดี (ความล้มเหลว) ไม่ใช่จุดจบ ในชีวิตจริงพวกเขาจัดการกับความเครียดได้ดีกว่ามากและรับมือได้ง่ายกว่าหลังจากทำผิดพลาด
- ***
พวกเขาพร้อมที่จะเสี่ยง
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในโรงเรียนต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลอดเวลา พวกเขาปล่อยให้ตัวเองเพ้อฝันและไม่ได้ใช้ชีวิตตามที่คนอื่นวางไว้ให้ ตอนนี้พวกเขาจัดการกับความผิดพลาดได้ดีขึ้น
หากต้องการลาออกจากวิทยาลัยเปลี่ยนงานหรือย้ายไปต่างประเทศก็ทำได้ พวกเขาฟังตัวเองและฟังสิ่งที่พวกเขาต้องการ
คุณเป็นนักเรียนหลังห้องหรือเปล่า หรือมีเพื่อนที่เป็นเด็กหลังห้องหรือไม่? ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? แบ่งปันเรื่องราว รูปภาพและความคิดเห็นของคุณในเพจของเรา!
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน