19 เรื่องราวของคนที่ถูกตัดสินจากทัศนคติเหมารวมแบบไร้เหตุผล

อัลเบิร์ตไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณตัดสินปลาด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้มันจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตของมันโดยเชื่อว่ามันโง่” ระยะเวลาที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเกือบทุกสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวนั้นถูกต้อง อย่างไรก็ตามคนมักจะยังคงตัดสินกันจากสิ่งที่เห็นกันภายนอก หรือ แม้กระทั่งจากลายมือของพวกเขา และสมาชิกนาม Reddit ได้แบ่งปันเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาเอง

พวกเรารู้สึกไม่พอใจนัก เมื่ออ่านเรื่องราว 19 เรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และในตอนท้ายคุณจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

สมัยเรียนมัธยมฉันถนัดการโต้วาทีและเข้าเรียนในวิชาเกี่ยวกับการปกครอง อย่างไรก็ตามฉันต้องเข้าเรียนวิชาเครื่องปั้นดินเผาด้วย ซึ่งฉันไม่ถนัดเลยจริงๆ แจกันที่ฉันปั้นนั้นดูเหมือนผึ้งที่กำลังกินอะไรบางอย่างก่อนจะสร้างรัง ครูคิดว่าฉันเป็น Special Needs Kids หรือ เด็กที่มีภาวะความต้องการพิเศษ อีก 2 ปีต่อมา ขณะที่ฉันกำลังทำงานในร้านค้าปลีกเพื่อหาเงินเข้าเรียนวิทยาลัย ฉันเจออาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง และเขาบอกกับฉันว่า “มันยอดเยี่ยมมากที่คุณมีงานทำ! มันดีสำหรับคุณ!”. นี้เขายังคิดว่าฉันเป็นเด็กพิเศษจริง ๆ เหรอเนี้ย © blubbertank

ฉันมีความสามารถด้านศิลปะมาก แต่สำหรับเรื่องอื่น ๆ นั้นฉันไม่ถนัดเลย ในโรงเรียนมัธยม (ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างคิดมากและไม่ได้ทำอะไรมากนัก) ฉันจึงถูกเรียกว่า “ซาวองก์” บ่อยๆ ( ซาวองก์ซินโดรม คือ กลุ่มบุคคลซึ่งมีความบกพร่องด้านพัฒนาการรูปแบบต่างๆ แต่กลับมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน) ฉันไม่ใช่คนที่ช่างพูดนัก คนอื่น ๆจึงเริ่มเรียกฉันด้วยคำนั้นอย่างจริงจัง พวกเขาต่างก็ประหลาดใจเมื่อฉันมีงานทำ เหมือนกับว่า ฉันไม่ใช่เด็กพิเศษหรอ และฉันก็สามารถทำงานในสังคมได้จริงๆ © TheSkyRamen

เมื่อฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ และถ้าฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนานั้นๆ ฉันมักจะนั่ง หรือ ยืนรอ โดยไม่ออกความเห็น แต่แล้วเพื่อนใหม่ของเราส่วนใหญ่มักจะบอกกับฉันในตอนท้ายว่า “คุณดูเป็นคนเงียบๆ นะ” ไม่ ฉันแค่ไม่ต้องการขัดจังหวะ ©weasel85

© The Perks of Being a Wallflower / Summit Entertainment

ใครๆ ก็บอกฉันเสมอว่าการนอนหลับในชั้นเรียนมันไม่ดี และคุณครูก็แจ้งพ่อแม่ว่าฉันนอนในห้องเรียนบ่อยมาก ฉันรู้สึกกลัวมากและพยายามเข้านอนเร็วๆ ในทุกคืนแต่ไม่ก็ไม่ช่วยอะไร แล้วสุดท้ายก็ได้รู้ว่าฉันเป็นโรคลมหลับ (โรคลมหลับ ‘Narcolepsy’ เป็นโรคเกี่ยวกับการนอนหลับที่มีอาการง่วงนอนตลอดเวลา และหลับในช่วงเวลาต่างๆอย่างผิดปกติ ) © x_vier

ทักษะการเล่นกีฬาควรจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หากเราได้รับการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่เสมอไปเพราะสำหรับฉันมันกลับทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่น่าขบขันตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ลูกบอลจะกระแทกใส่หน้าฉัน ทุกคนบอกว่าฉันเล่นได้แย่มากรวมถึงโค้ชและครอบครัวของฉันด้วย ฉันยังคงเล่นต่อไปเพราะฉันมีความสุขกับการเล่นกีฬาและได้อยู่กับเพื่อนๆ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ว่าฉันจะฝึกซ้อมมากแค่ไหนฉันก็ยังต้องเจอกับความผิดพลาดอยู่ตลอด ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น ๆ ทุกคนสามารถทำได้โดยเห็นเป็นเรื่องง่าย จนฉันได้ไปพบจักษุแพทย์และเขาบอกฉันว่า ดวงตาข้างหนึ่งของฉันมีปัญหาทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ปกติ เป็นผลให้ไม่สามารถมองเห็นเชิงลึกได้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะมองตามวัตถุที่เคลื่อนไหวในอากาศได้เหมือนทุกคน © Nice_Marmot

ฉันสูง 190 กว่าซม. แต่ฉันไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะฉันแค่ตัวสูงเท่านั้นเอง© WelcomeMachine

© Above the Rim / New Line Cinema

มีครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งบอกว่าเรื่องราวที่ฉันเขียนไม่ดีเลยสักเรื่อง ซึ่งฉันมักคิดว่าฉันเขียนมันได้ดีแล้วนะ ฉันจึงนำมันไปให้ครูสอนภาษาอังกฤษคนอื่นอ่านซึ่งพวกเขาบอกว่ามันยอดเยี่ยมมากแต่ฉันต้องดูเรื่องการสะกดคำให้ดี แล้วฉันก็ได้รู้ว่าครูคนแรกไม่ค่อยอ่านเนื้อหาเพียงแค่เห็นข้อผิดพลาดจากการสะกดคำ หลายปีต่อมาฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคดิสเล็กเซีย (ภาวะผิดปกติในการเรียนรู้ภาษา) จากครูคนนั้น © anactualcharliehorse

ฉันถูกล้อบ่อยมากในโรงเรียนมัธยมต้นและช่วงแรกของการเรียนมัธยมปลายเพราะฉันชอบเล่นกีฬาฮอกกี้ พวกเขาบอกว่านี่ไม่ใช่งานอดิเรกสำหรับเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรูปร่างหน้าตาอย่างฉัน ช่างน่าขำ ปัจจุบันฉันเป็นนักข่าวที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก NHL และได้พูดคุยกับผู้เล่นมากมายเกินกว่าที่พวกเขาจะฝันถึง © ZajacingOfff

สมัยเรียนอนุบาล พวกเราได้เรียนรู้การคัดลายมือและคุณครูก็สอนวิธีเขียน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันไม่สามารถเขียนตัวอักษรได้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม เมื่อก่อนฉันสามารถเขียนตัวอักษรได้นี่น่า ฉันรู้สึกหงุดหงิดมากและเริ่มร้องไห้ สุดท้ายปรากฏว่าคุณครูกำลังสอนวิธีเขียนอักษรด้วยมือขวาแต่ฉันเป็นคนถนัดมือซ้าย © ___KP

ลายมือมือข้างขวาของฉันแย่มากและมือซ้ายก็แย่ยิ่งกว่า คะแนนทดสอบคณิตศาสตร์มาตรฐานของฉันสูงเกินความคาดหมาย ตอนม.1 ฉันตอบคำถามผิดเพียงข้อเดียวจาก 100 ข้อ คะแนนสอบการอ่านของฉันก็สูงมากเช่นกัน แต่ครูโรงเรียนคิดว่าฉันต้องการ การดูแลเป็นพิเศษ เพื่อฝึกเขียนตัวอักษรพิมพ์ใหญ่บนกระดาษ © hypnos1214

ครูสมัยประถมศึกษาของฉันกล่าวว่า ลายมือของฉันแย่มากอาจจะเป็นเพราะฉันคิดว่าฉันกำลังฝึกเขียนให้เหมือนที่พวกคุณหมอเขียน และตอนนี้ฉันก็ได้เป็นหมอจริงๆ … © swanhunter

ตอนเด็กๆ ฉันพยายามเรียนรู้วิธีผูกเชือกรองเท้า ผู้ใหญ่ทุกคนที่พยายามสอนฉันต่างยอมแพ้และนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก แต่แล้ววันหนึ่งลุงที่ถนัดมือซ้ายก็ทำให้ดูว่าต้องทำอย่างไรและฉันก็ทำได้ทันที © peeweemax

เพื่อน ๆ และ คนอื่น ๆ มักบอกกันฉันว่า “ ทำไมคุณไม่จัดของทุกอย่างให้เป็นระเบียบ ของจะได้ไม่หาย… ” ฉันก็พยายามทำ แต่ก็ไม่ได้สักที่ จนฉันไปหาหมอ ซึ่งปรากฏว่าเป็นเพราะฉันเป็นโรคสมาธิสั้น การที่ของต่างๆ ไม่เป็นระเบียบและทำของหาย เป็นลักษณะตามธรรมชาติของฉัน © UUDDLRLRSelStar

ฉันถูกบอกว่าฉันน่าสงสารเพราะฉันไม่รู้วิธีต่อรถพ่วงกับรถกระบะตอนอายุ 29 ปี ฉันโตมาโดยไม่มีพ่อและไม่มีใครสอนอะไรฉันมากนัก ประเด็นที่ฉันต้องการบอกผู้ชายคนนี้ คือ ไม่มีใครรู้วิธีที่จะทำอะไรสักอย่างจนกระทั่งพวกเขาได้ลงมือทำครั้งแรก และชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน © cashflow605

แผนกทรัพยากรบุคคลของบริษัท ให้ฉันสัมภาษณ์งานในตำแหน่งที่ฉันไม่ได้สมัครเข้าไป และตำแหน่งที่พวกเขาสัมภาษณ์คือตำแหน่งที่ฉันไม่มีความรู้ เกี่ยวกับมันเลย แม้ฉันจะบอกพวกเขาก่อนการสัมภาษณ์แต่ละรอบว่าฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานนี้เลย แต่ฉันก็ยังต้องทนต่อการถามคำถามที่ฉันไม่มีคำตอบให้พวกเขาทั้งวัน © skulltvhat

ตอนฉันทำงานเป็นลูกจ้างของที่นี้ ฉันประสบปัญหาค่อนข้างบ่อยในการพยายามให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน แต่ตอนนี้เมื่อฉันอยู่ในฐานะวิทยากรจากภายนอกพวกเขากลับยินดีที่จะจ่ายเงินให้ฉัน 200 เหรียญต่อชั่วโมงเพื่อพูดในสิ่งเดิม © realchrisgillen

นี่เป็นเรื่องวัยเด็กของฉัน ตอนนั้นฉันไม่ถนัดเรื่องคิดเลขเลย ฉันคิดว่าเด็กส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านเรื่องเหล่านี้ไปซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าจนเมื่อฉันมาเรียนระดับวิทยาลัยที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกเรื่อง เมื่อฉันมีศาสตราจารย์ที่พูดได้ 13 ภาษา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า 5 + 4 เป็นเท่าใด เขาคิดเพียงว่า ทำให้ดีที่สุดในด้านที่เขาถนัด © mimieieieieie

© House, M.D. / Fox

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉันมีโอกาสได้สัมภาษณ์งานที่พอใช้ได้งานหนึ่ง ฉันทำแบบทดสอบผ่านด้วยคะแนนเกือบเต็มร้อย และผ่านการสัมภาษณ์ 2 ครั้งแรกที่ทำได้ค่อนข้างดี ในการสอบสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายพวกเขาเริ่มถามคำถามที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับงาน และ ความรู้ในการทำงานของฉัน ฉันเงียบสนิทเพราะพวกเขา ถามแต่เรื่องอื่น ๆ และพูดแต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันได้เคยทำงานมา ฉันคิดว่าฉันดูเหมือนปลาที่กำลังถูกพาขึ้นไปหัดเดิน หลังจากที่พวกเขาเริ่มสนุกกับการเห็นฉันเป็นเช่นนั้น แล้วฉันก็กล่าวขอตัวเพื่อจบการสนทนาและเดินออกมา © wissenshunger

ฉันเป็นคนชอบตั้งเกณฑ์ให้ตัวเองมา ตลอดทั้งชีวิตของฉัน ฉันกดดันตัวเองเพื่อที่จะให้ตัวเองฉลาดเหมือนพ่อและพี่ชายของฉัน ซึ่งพวกเขาโดดเด่นมากทางคณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ พ่อของฉันมีไอคิวสูงถึง 138 และพี่ชายของฉันได้เกรดเอทุกตัวและติดหนึ่งในรายชื่อนักเรียนที่เรียนดีมากสมัยมัธยมและวิทยาลัย ฉันพยายามอย่างหนักในวิชาคณิตศาสตร์ ฉันพยายามมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เพราะฉันรู้สึกว่าถ้าฉันไม่เก่งคณิตศาสตร์หรือวิชาใด ๆ ทางด้านนี้ฉันจะไม่ใช่เด็กฉลาด ฉันเป็นนักเรียนเกรด C + / B- เสมอ เพราะฉันไม่เก่งในสิ่งนี้ ฉันจึงรู้สึกเหมือนฉันโง่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ต้องพยายาม จากนั้นเมื่อฉันโตขึ้นฉันก็ตระหนักว่าทักษะทางด้านศิลปะของฉันมีคุณค่า มากกว่าการคำนวน จริงๆ แล้วอาจารย์สอนศิลปะประทับใจในผลงานของฉันทุกคน และไม่นานนักก็ขยายวงกว้างออกไป เจ้าหน้าที่โรงเรียนตำรวจให้ฉันสร้างผลงานบางอย่างให้เขา ฉันทำงานศิลปะแสดงที่สนามบินของเมือง และเมื่อฉันบอกพ่อว่า ไม่มีงานตรงสายที่เรียนจบมาให้ฉันทำ เขาก็พูดว่า ลองอย่างอื่นสิ ฉันถามว่า “ให้ทำอะไร” เขาบอกว่า “ศิลปะไง” และในตอนนั้นเองที่มันให้ความรู้สึกว่าพ่อได้ให้คุณค่า ความสามารถทางด้านศิลปะของฉันเทียบเท่ากับความฉลาดและความสำเร็จของเขา © HoneyCide

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่คุณถูกตัดสินโดยไม่ได้มองจากสิ่งที่คุณทำ แต่ติดอยู่กับแบบแผนเดิมๆหรือไม่?

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน