เรื่องราวขำขำจากเด็กน้อยที่เรียกรอยยิ้มให้ผู้ใหญ่อย่างเราได้

บางครั้งพวกเราชาวเพลินเพลินก็คิดอยากจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพราะว่าความสุขตอนที่เป็นเด็กนั้นมันช่างแสนสบาย เพราะแทบจะไม่มีเรื่องราวให้ต้องกังวลไม่ต้องคิดมาก โดยสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เข้ามามันก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่น่าสนใจตลอดเวลา
และเพื่อให้พวกเพื่อนเพื่อนได้ย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีตแล้วนั้นวันนี้พวกเราชาวเพลินเพลินก็เลยเอาเรื่องราวน่ารักน่ารักความตลกในสิ่งที่เด็กน้อยคิดและได้ทำออกมา มาให้เพื่อนเพื่อนได้ชมกัน ลองไปชมกันซิว่าจะน่ารักและขำขนาดไหน

ก็บอกให้ช่วยกันไงละ
เช้าวันหยุดของที่บ้านเป็นเวลาที่แสนสบายเพราะเราไม่ต้องออกไปไหนและก็ได้นั่งมองดูลูกของเราทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสนุกและวันนี้ก็เช่นกันตอนที่เราเห็นว่าเค้าเดินไปมารอบๆห้องและทำท่าทางค้นหาบางอย่างอยู่เราก็เลยเข้าไปใกล้ เพื่อดูว่าจะทำอะไรได้บ้างแล้วเค้าก็หันมาหาเราและพูดว่า

  • เจ้าตัวเล็ก : พ่อช่วยหาตุ๊กตากระต่ายของหนูหน่อยสิ
  • ผม : (คิดในใจว่าจะทำตัวเป็นพ่อที่ใสซื่อสักหน่อยก็เลยตอบไปว่า) เอ๋..พ่อจะรู้ไหมนะว่าพวกมันอยู่ที่ไหน ?
  • เจ้าตัวเล็ก : (หันมาแล้วทำท่า งงๆใส่แล้วก่อนจะพูดว่า) นี่คือเหตุผลที่หนูให้พ่อช่วยไง “หา” ไง

รู้เลยว่าอยู่ข้างใคร
เย็นวัน หลังเลิกงานก็ออกไปเตรียมซื้อของที่ห้างเพื่อกลับบ้านไปทานอาหารเย็นในระหว่างที่กำลังเลือกซื้ออาหารอยู่นะเราก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังคุยกับลูกสาวน่าจะอายุสัก 5 ขวบของเธอประมาณว่าเธออยากขอให้แม่ของเธอเลือกอาหารที่เธออยากทาน แต่ตอนท้ายของเรื่องทำให้เราต้องยิ้มเมื่อได้ฟังเลย โดยที่พวกเค้าพูดกันว่า

  • เด็กน้อย : แม่ ซื้อซาลามี่ด้วยนะ
  • คุณแม่ : ถ้าอันนั้นละก็บอกพ่อให้ซื้อสิ เพราะแม่ซื้อจะเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้นะจ้า
  • เด็กน้อย : (หันมาหันหน้าลงพร้อมกับพูดเบาๆ แต่เราก็ได้ยินว่า) ใช่สิให้พ่อเลือกแต่ของอร่อยเท่านั้น

ฟังดูก็คิดถึงตอนเด็กๆเลยที่เวลาพ่อกับแม่ดูแลเราถ้าคนหนึ่งสอนอีกคนก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นคนใจดีที่จะมาช่วยอยู่ข้างๆเราค่อยมาตามใจและครั้งนี้เรื่องอาหารอร่อยก็ต้องยกให้คุณพ่อสินะ

แล้วทำไมไม่มีเพิ่ม
เรา จำได้ดีถึงตอนที่เลี้ยงลูกในวัยสองถึงสามขวบเพราะช่วงนั้นเด็กเด็กจะมีคำถามแปลกแปลกมาให้เสมอ ทำให้เราทั้งยิ้มและหัวเราะและบางครั้งก็ต้องคิดอยู่นานว่าจะตอบว่าอย่างไรอย่างวันนึงที่พวกเรากำลังเล่าถึงนิทานที่กล่าวถึงครอบครัวหนึ่งว่า เป็นครอบครัวใหญ่ที่มีพ่อและแม่ และลูกๆอีกหลายคนซึ่งในเรื่องคือพ่อแม่อออกไปทำงานแล้วให้เด็กอยู่บ้าน ซึ่งก็จะมีเรื่องเล่าต่าง ๆ เกิดขึ้น แต่พออ่านจบลูกของเราก็พูดขึ้นมาว่า

  • เด็กน้อย : ถ้าเค้ายุ่งและมีงานต้องทำนอกบ้านมากขนาดนั้น ทำไมเค้าไม่หาพ่อแม่มาเพิ่มละจะได้มาช่วยดูแลลูกๆไง
  • เรา : (ฟังคำถามแล้วก็ขำ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบยังไงก็เลยตอบไปว่า) อันนั้นมันเพิ่มไม่ได้
  • เด็กน้อย : แล้วทำไมที่ลูกๆ ยังเพิ่มขึ้นมาได้เลยละ

ตอนนั้นเรายังไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยพูดออกนอกเรื่องแล้วก็รีบเข้านอนเลยดีกว่า

ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรแล้ว
บางครั้งเราก็นชรู้สึกว่าเด็กๆน่าจะมีความสามารถพิเศษที่พอเราโตแล้วกลับหายไป เพราะตอนที่เราไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะที่มีเด็กเด็กวิ่งเล่นอยู่เราก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนนึงวิ่งไปและหกล้มซึ่งก็น่าจะต้องเจ็บแน่ๆ แต่แค่คุณแม่ของเค้าเข้ามาแล้วเปลี่ยนเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดส่วนที่ช้ำ พร้อมกับพูดว่าความเจ็บจงหายไป “แค่มองไม่เห็นรอยที่ล้มเท่านั้นแหละ” เด็กน้องก็ยิ้มออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให่้เรารู้สึดว่าบางครั้งเราก็อยากจะเป็นแบบนั้นอีกครั้งจริง ๆ เพราะสำหรับเด็กแค่ไม่เห็นหรือมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไปก็ทำให้กลับมามีความสุขได้แล้ว ไม่เหมือนผู้ใหญ่อย่างเราเลย

จะนอนแล้วนะ

บางครั้งเราก็ทำอะไรแบบเดิมจนลืมสังเกตุไปเลยว่าลูกของเราเติบโตขึ้นมาขนาดไหนแล้ว อย่างเรื่องของเราที่จะเล่าให้เพื่อนเพื่อนฟัง นั่นคือตอนที่ลูกของเรายังเล็กอยู่เรามักจะเล่านิทานก่อนนอนเพื่อให้เด็กเด็กรู้สึกง่วงและหลับอย่างมีความสุขซึ่งต้องทำแบบนั้นมาสักระยะจนครั้งสุดท้ายที่เราหยุดทำต่อเพราะว่าหลังจากที่เราอ่านนิทานจบ ลูกของเราก็พูดว่า “แม่อ่านจบแล้วใช่ไหม” หนูจะได้นอนสักที รอให้แม่เล่าจบตั้งนานแล้ว (กลายเป็นลูกเข้าใจว่าเค้าอยู่เป็นเพื่อนฟังเราเล่านิทานซะงั้นไป) จากนั้นเราก็เลยแค่ไปส่งลูกเข้านอน

จินตนาการที่น่าสนใจแต่มันไม่ใช่หรอกนะ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง สามีของฉันซื้อของกลับมาบ้านหลายอย่าง เจ้าลูกชายตัวแสบของเรา (อายุ 4 ขวบ) เป็นคนชอบแกะถุงมากก็เปิดมันออก แล้วฉันก็ได้ยินลูกพูดขึ้นว่า “พื้นรองเท้า แผ่นรองเสริมส้นอีกแล้ว” ฉันงงๆว่าแฟนฉันซื้อมาทำไม เพราะไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องมีมัน แต่พอเดินเข้าไปในห้อง ลูกชายก็ยื่นผ้าอนามัยที่แกะแล้วส่งมาให้เรา ได้แต่บอกไปว่าถึงจะดูเหมือนที่รองพื้นรองเท้าแต่มันก็ไม่ใช่นะลูก (ครั้งหน้าคงต้องให้คุณแฟนแยกห่อซะแล้วไม่งั้นคงไม่ได้ใช้แน่ๆ เพราะเด็กคงแกะเล่นแบบนี้อีก)

เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน