เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคู่เป็นแฟนกันได้หลายปีแต่พอแต่งงานปุ๊บไม่นานก็เลิกกัน

ต้องบอกว่าบางครั้งบางคราวเรื่องราวของคู่รักหลายหลายคู่ก็มักจะสวยหรูมาก่อนแต่งงานหลายเดือนหลายปีเลยก็ว่าได้แต่ไม่ว่าใครต่อใครก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโค้งสุดท้ายของการ พิสูจน์รักแท้ก็คือช่วงเวลาก่อนแต่งงานนั่นเองซึ่งเราหลายคนก็ได้เห็นมาแล้วว่ามีหลายคู่ที่ตัดสินใจบอกลากันทั้งที่วางแผนแต่งงานกันแล้วและมีหลายคู่ที่จากกันแทบจะเรียกว่าอย่างรวดเร็วหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน

ซึ่งเหตุผลของแต่ละคู่นั้นก็มักจะลงท้ายประโยคบอกกันว่า “มันไม่ใช่” หรือ “เราไปกันไม่ได้” ทั้งทั้งที่ก่อนหน้านี้บางคู่คบกันมาเป็น 10 ปีด้วยซ้ำแต่กลับไม่สามารถประคองความรักหลังแต่งงานไปได้ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าก่อนที่เราจะแต่งงานอยู่ด้วยกันนั้นทั้งสองฝ่ายต่างมีพื้นที่และช่วงเวลาที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่อยากทำได้อยู่นั้นเอง

และแน่นอนว่าความคิดความเห็นของแต่ละคนนั้นก็ย่อมมีสิ่งที่ตัวเองคิดและความเห็นส่วนตัวนั่นเอง ซึ่งเมื่อต้องมาอยู่ด้วยกันแล้วมันก็เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างและถ้าไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้มันก็ต้องลงท้ายด้วยการแยกทางกันไปนั่นเองอย่างวันนี้เราก็มีเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งที่ได้โพสต์เรื่องราวของเขาบนโลกออนไลน์

เกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของเค้าและแฟนก่อนที่จะจัดงานแต่งงานนั้นเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่เราอยากจะเอามาให้เพื่อนเพื่อนได้ฟังและคิดไตร่ตรองกันนั่นเอง

อย่างวันนี้เราขอหยิบยกเรื่องราวตัวอย่างอันนี้ที่เป็นเรื่องของเจ้าสาวที่ลงทุนซื้อชุดแต่งงานที่ถูกใจด้วยเงินตัวเองซึ่งราคาก็อยู่ที่หมื่นกว่าๆ แต่คู่หมั้นของเค้ากลับไม่พอใจและพยายามบอกให้คุณเจ้าสาวคืนชุดไปและให้มองหาชุดที่ราคาถูกกว่านั้นซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นอย่างที่เพื่อนเพื่อนกำลังเดาอยู่นั้นเอง เจ้าสาวยอมไม่ทำตามอย่างแน่นอน

โดยฝ่ายผู้หญิงเล่าว่าคู่หมั้นของเธอเรียกร้องให้คืนชุดแต่งงาน เพราะเธอซื้อมาโดยไม่ปรึกษาเขาก่อน ซึ่งเหตุผลที่ให้กับฝ่ายหญิงก็คือราคามันสูงเกินไปโดยฝ่ายชายไม่ได้สนใจรายละเอียดของชุดที่ฝ่ายหญิงหามาเลย

และในท้ายที่สุดของเรื่องก็คือการไม่ลงรอยกันของคนทั้งคู่นั้นเอง โดยเราไม่ทราบว่าหลังจากนั้นทั้งคู่จะไปกันอย่างไรต่อแต่ความเห็นที่ตอบในกระทู้นั้นคือสิ่งที่เราสนใจเพราะมีทั้งคนที่อยู่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างออกคำแนะนำต่าง ๆ เราก็เลยอยากจะนำมาให้เพื่อนเพื่อนได้อ่านไว้เพื่อว่าจะได้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง หรือเราอาจจะเอาไปปรับใช้กับเรื่องราวของเราเองก็ได้

  • ฝ่ายชาย: ที่บอกว่ามันมากไปเพราะชุดแต่งงานนั้นใช้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
  • ฝ่ายหญิง:เป็นงานที่มีแค่ครั้งเดียวและผู้หญิงก็อยากจะดูดีที่สุดในวันนั้น
  • ฝ่ายหญิง: ถึงจะใส่ครั้งเดี่ยวแต่มันก็คือความทรงจำดีดีที่อยากให้เกิดขึ้น
  • ฝ่ายชาย:ให้ลองหาชุดเช่าหรือใช้ของมือสองที่ปรับให้เข้ากับตัวเราได้
  • ฝ่ายหญิง: ฝ่ายหญิงก็เป็นคนจ่ายเองแล้วจะมาว่าทำไม
  • ฝ่ายชาย: อยากให้มองเรื่องความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเพราะยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่ต้องจ่าย
  • ฝ่ายหญิง: มันเป็นเรื่องของความรู้สึกไม่ใช้เรื่องของธุรกิจที่จะมาวัดสิ่งที่เสียไปกับสิ่งที่ได้มา


ซึ่งเมื่อสรุปแล้วเราก็พบว่าหากเรามองเรื่องนี้ในแง่ของหลักการใช้จ่ายหรือเป็นเรื่องธุรกิจแล้วละก็มันก็อาจจะมีเรื่องของความคุ้มค่าต่อการใช้งานและราคาที่ต้องจ่ายไปนั้นเอง แต่อีกฝั่งที่มองเรื่องของความประทับใจและความทรงจำที่อยากจะเก็บไว้มันก็ต้องมีภาพจำและความฝันกับสิ่งที่ชอบที่อยากทำสักครั้ง

นี้แหละที่เราอยากจะบอกให้เพื่อนเพื่อนได้คิดกันว่า หัวข้อและทิศทางในการคุยกันนั้นเป็นคนละประเด็นเป็นคนละมุมมองมันย่อมไม่ส่งผลดีต่อเราและคู่สนทนานั่นเองซึ่งที่ผ่านมาตอนที่คุณเป็นแฟนกันนั้นก็อาจจะแกล้งทำเป็นยอมแต่สุดท้ายก็แอบไปซื้อหรือทำสิ่งที่ชอบได้ แต่เมื่อต้องมาอยู่ด้วยกันหลังแต่งงานแล้วมันก็เลยไม่สามารถทำแบบเดิมนั้นได้

สุดท้ายมันก็เลยต้องทะเลาะและหากไม่สามารถปรับจูนความเข้าใจกันได้สุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการแยกย้ายนั้นเอง นี้แหละคือสิ่งที่เราอยากจะบอกให้เพื่อนเพื่อนที่กำลังจะกลายเป็นคู่แต่งงานใหม่ได้ทราบและลองเตรียมตัวเตรียมใจที่จะปรับตัวให้เข้ากันให้ได้ก่อนที่จะกลายเป็นการจากลากันนั้นเอง
เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน