4 เรื่องราวขำขำจากจินตาการของเด็กๆที่เราตามไม่ทัน

ในสมัยนี้ที่การศึกษาเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงมากขึ้นพวกเราสามารถเปิดอินเทอร์เน็ตเพื่อมองหาสิ่งที่เราสนใจและยังสามารถสอบถามหรือค้นหาที่มาที่ไปของบบทความต่าง ๆ เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือเหล่านั้นได้ไม่ยากเลย แต่การเรียนรู้ในรู้แบบนี้ก็ยังมีข้อด้อยอยู่นั้นก็คือการที่เราต้องอยู่คนเดียวนั่งเรียนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นถึงแม้จะสร้างความรู้ให้เราแต่ก็ไม่อาจที่จะสร้างเพื่อนให้เราได้และนอกจากนี้การที่อยู่แต่หน้าคอมระหว่างครูผุ้ที่ต้องค่อยดูและนักเรียนนั้นยังทำให้เกิดเรื่องราวหรือความเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ อีกด้วยเพราะพวกเรานั้นมองเห็นแต่อาจจะไม่สามารถพูดคุยกับทุกคนได้เหมือนกับการที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องเรียนที่ทำให้คุณครูแค่มองผ่านไปก็สามารถรับรู้ได้ว่าเด็กๆ แต่ละคนกำลังมีอะไรมีท่าทางหรือลักษณะอะไรและก็สามารถเดินเข้าไปหาและสอบถามได้ทันที ซึ่งเพื่อนเพื่อนหลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่จำเป็นและสมัยนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว แต่พวกเราที่เพลินเพลินก็มีอีกความคิดหนึ่งที่อยากจะบอกกับเพื่อนเพื่อนนั้นก็คือ เราอยากจะให้เกิดทั้งการเรียนออนไลน์และการได้ไปพบเพื่อนเพื่อนบ้างในบางวันก็คงจะดีไม่น้อยเลยเพราะทั้งเพื่อนและการได้พูดคุยพบปะกับคนจริง ๆ นั้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความจริงใจและรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นเอง

และจากเรื่องราวที่เราบอกมานั้นเองเราพบว่าเพื่อนของเรามีเรื่องขำขำจากวิชาศิลปะจากเพื่อนของเราที่ทำให้คุณครูและเด็กๆ ในวิชาวาดรูปบางคนมีเรื่องขำขำมาบอกเล่าให้เพื่อนเพื่อนฟังจากกห้องเรียนออนไลน์ที่เหล่านักเรียนและคุณครูทั้งหลายได้พบมาและได้แบ่งปันเรื่องราวฮาฮาเหล่านั้นให้กับเรา

เรื่องแรกภาพวาดที่ต้องเชิญพ่อไปคุยด้วย
ครั้งหนึ่งตอนที่เรายังอยู่มัธยมต้น คุณครูเรียกผู้ปกครองไปพบเพราะเราแค่วาดรูปรูปหนึ่ง โดยพวกเขาได้รับอีเมล์จากคุณครูบอกว่าอยากจะขอคุยเรื่องของเรา เพราะคุณครูพบอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยและเมื่อพ่อเราไปถึงคุณครูก็แสดงภาพวาดที่เราวาดในหัวข้อครอบครัวมาให้ดู(ภาพวาดในชั่วโมงเรียนออนไลน์ที่เด็กๆวาดและส่งรูปถ่ายให้คุณครูหลังชั่วโมงเรียน) ซึ่งมันเป็นภาพครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ยังวาดไม่เสร็จดีและมีสัญญาลักษณ์รูปตัว X ตัวใหญ่บนภาพคนคนหนึ่งในครอบครัวซึ่งเมื่อคุณครูเห็นแล้วก็คิดไปว่าเราอาจจะไม่ชอบอะไรคนนั้นหรือเปล่าเลยเรียกพ่อมาคุยที่โรงเรียน เขาพูดคุยกันอยู่นานมากและคงมีหลายหลายเรื่องเตรียมมาคุยกับเรา และพอมาถึงพ่อก็เอาภาพวาดให้เราดูและกำลังจะเริ่มคุยกับเราตามที่โรงเรียกแนะนำมา แต่เราพอเห็นภาพก็บอกออกไปว่า “นั้นภาพวาดที่ผมวาดผิดนี้น่า” วันนั้นระหว่างวาดรูปเราวาดไปแล้วรู้สึกว่าแม่สูงเกินไปหน่อยเลยกาเครื่องหมาย X เพราะจะวาดใหม่แต่ดันหมดเวลาซะก่อนก็เลยต้องส่งภาพไปทั้งอย่างนั้น หลังจากพูดจำพ่อก็หัวเราะออกมาพร้อมกับบอกเราว่าวันนี้พ่อต้องไปพบคุณครูเพื่อคุยกันอยู่นานเกี่ยวกับรูปภาพรูปนี้

เรื่องที่สองภาพเขียนสีดำ
วันหนึ่งหลังจากที่เรียนวิชาวาดรูปเสร็จคุณครูก็โทรศัพท์มาหาเราที่บ้านทันที คุณครูเริ่มเล่าเข้าประเด็นทันทีว่าวันนั้นคุณครูให้วาดภาพของตัวเองในคาบเรียนซึ่งทุกคนก็วาดออกมาได้ดีลงสีสวยงามแต่รูปที่ลูกของเราเอามาโชว์ที่หน้าจอให้ครูเห็นนั้นเป็นรูปวาดสีดำของเธอที่กำลังนอนอยู่ซึ่งไม่มีสีอื่น ๆ เลยเมื่อคุณครูเห็นแบบนั้นเลยคิดไปว่าเด็กอาจจะซ่อนบางอย่างไว้เลยโทรมาคุยกับเราที่บ้านพอพูดเสร็จ เราเลยบอกไปว่าไม่ต้องกังวลเพราะเมื่อวานพวกเราลืมกระเป๋าเครื่องเขียนไว้ที่บ้านญาติซึ่งกล่องสีก็อยู่ในนั้นด้วย แล้ววันนี้ที่บ้านมีแค่ปากกาสีดำกับแดงซึ่งเราคิดว่าถ้าเอาสีแดงไปวาดคงไม่ดีเท่าไหร่เราก็เลยต้องให้ลูกใช้แต่สีดำเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ตามคงต้องขอบคุณคุณครูมากมากที่คิดถึงลูกศิษย์ขนาดนี้

เรื่องที่สามภาพของแม่
เราเป็นครูสอนวาดรูปและระหว่างกำลังมองดูภาพของเด็กที่เราให้วาดภาพครอบครัวและให้เด็กๆ เล่าเรื่องราวเล็กน้อยที่เป็นที่มาของภาพนั้น ซึ่งมันก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งมีเด็กคนหนึ่งวาดภาพ พ่อ และ เด็กตัวเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ นั่งอยู่ที่โต็ะทานอาหารเราเห็นแล้วก็คิดไปเองว่าแม่คงไม่อยู่แล้ว เราคิดอยู่นานว่าจะเริ่มคุยยังไงดีจนกระทั้งลูกศิษย์ตัวน้อยเริ่มเล่าเรื่องเธอพูดว่า “นี้คือภาพครอบครัวและมื้อเย็นแสนอร่อยพ่อกับเรานั่งทานขนมกันที่โต๊ะระหว่างที่แม่ล้างจานอยู่ในครัว” สรุปแม่ไปล้างจานเลยไม่ได้อยู่ที่โต๊ะแค่นั้นเอง ??

เรื่องที่สี่อาหารเช้า
ในระหว่างคาบเรียนศิลปะเราให้นักเรียนลองวาดภาพอาหารเช้าที่ชอบกันเด็กหลาย ๆ คนวาดภาพไข่ดาวและขนมหรือบางคนก็วาดภาพแก้วนมแต่มีอยู่คนหนึ่งเข้ามีภาพวาดที่ไม่เหมือนใครนั้นคือรูปวงกลมและในวงกลมนั้นก็เป็นการลงสีเหมือนกับความยุ่งเป็นการขีดวงกลมโดยใช้สีหมุนไปเรื่อย ๆซึ่งพอเราเห็นก็คิดไปว่าน้องอาจจะมีอะไรในใจถึงวาดภาพนี้ออกมา เราเรียบเรียงคำพูดเพื่อที่จะไม่ไปสะกิดใจเขาแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ “นี้คือภาพน้ำผลไม้รวมปั่น ทุกอย่างหมุดด้วยความเร็วมากมาก” พอได้ฟังเราก็หัวเราะออกมาเลยสรุปว่าเราไม่ควรรีบตัดสินใจอะไรจนกว่าจะได้ฟังเหตุผลของคนอื่นก่อน

พอได้อ่านเรื่องราวที่ส่งต่อต่อกันมาแบบนี้แล้วก็ยังทำให้เรารู้ว่าบางครั้งเราอาจจะคิดไปเองเพียงแค่มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็กลับเอาไปคิดและต่อยอดเรื่องราวต่าๆ โดยที่ไม่ได้มีอะไรเลยดังนั้นพวกเราก็เลยอยากให้เพื่อนเพื่อนหันกลับมาทำอะไรคิดอะไรให้ช้าลงให้เวลากับการฟังและการพูดของคนอื่น ๆ มันก็น่าจะทำให้พวกเรามีความสุขได้แบบง่ายง่ายเลยนะ

เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน