ถ้าเราพูดถึงเรื่องของความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราหาได้ในหนึ่งวันเพื่อนเพื่อนของเราส่วนหนึ่งก็อาจจะคิดไปถึงการได้ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่สวย ๆ บางคนอาจจะคิดถึงอาหารอร่อย ๆ ตามร้านสวย ๆ หรือ อาจจะเป็นแค่ร้านกาแฟบรรยากาศดีดีกับกาแฟหอม ๆ สักแก้วหนึ่งก็คงจะดี แต่กับเพื่อนของเราอีกจำนวนหนึ่งกลับพูดถึงเรื่องการนอนซึ่งเมื่อพวกเราได้ลองฟังเหตุหผลที่เค้าบอกแล้วพวกเราที่เพลินเพลินก็รู้สึกเห็นด้วย เพราะเพื่อนของเราผู้รักการนอนได้กล่าวเอาไว้ว่าเมื่อเราทุกคนออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการมาทั้งวันแล้วเมื่อกลับมาก็ล้วนต้องการการนอนหลับที่แสนสบาย การหลับสนิท ฝันดี สักตื่นจะทำให้เราเหมือนได้พลังงานกลับมาเต็มอีกครั้งแต่ก็ยังมีอีหลายหลายคนที่ไม่สามารถนอนได้เต็มที่ซึ่งทำให้เราต้องเริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ อย่างเช่นเตียงที่ดี ผ้าปูที่นอนสะอาด และหมอนที่นุ่มสบาย เนื่องจากการอดนอนไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของเราต้องทนทุกข์ทรมานเท่านั้น ยังทำให้เกิดเรื่องราวตลก ๆ ต่าง ๆ ตามมาได้อีกด้วยเพราะเมื่อถึงจุดที่เรียกว่าสลึมสลือแล้วละก็ร่างกายของเราจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติรวมไปถึงความคิดอ่านอีกด้วย
ซึ่งเมื่อคุยกันมาถึงเรื่องนี้ก้ทำให้เราหวนกลับไปนึกถึงเมื่อไม่นานมานี้พวกเราได้พูดคุยถึงสถานการณ์ตลก ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเพื่อนเพื่อนของเราบางคนมีการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ และปรากฏว่าเมื่อลองไปเปิดอ่านตามกระทู้ต่าง ๆ ก็พบว่าเพื่อนเพื่อนบนอินเทอร์เน็ตอีกมากมายที่มีบางอย่างอยากจะพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ด้วย ซึ่งวันนี้พวกเราเพลินเพลินก็ได้รวบรวมมาให้เพื่อนเพื่อนได้อ่านกันสำหรับวันหยุดสบายสบายแบบนี้อีกด้วย
เรื่องแรกเกือบไปแล้ว
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้วเราเพิ่งเรียนจบและเข้าทำงานได้ไม่นานซึ่งที่ทำงานของเราห่างจากบ้านของเราไม่ไกลมากเราเดินไปแค่ 5 นาทีเท่านั้น ซึ่งนั้นเองที่ทำให้เราจะตื่นเอาใกล้ๆช่วงเวลาก่อนจะเข้างานไม่นาน และเราก็จะรีบวิ่งไปทำงานทุก ๆ เช้าซึ่งมันก็ทันแบบฉิวเฉียดแทบทุกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่งเป็นวันงานเลี้ยงรวมรุ่นของมหาลัยซึ่งเราสนุกสนานไปกับเพื่อนเพื่อนจนดึกและตอนเช้าก็ต้องไปทำงาน ซึ่งเราคงจะสนุกสนานและทำตัวเหมือนตอนเรียนมากไปหน่อยทำให้วันนั้นเราไม่ตื่นตามเวลา และหัวหน้างานก็โทรมาหาเราเพื่อถามถึงงานที่จะต้องส่งให้ในตอนเช้าวันนั้น ตอนเรารับโทรศัพท์แบบงงเพราะยังตื่นไม่เต็มที่และคิดไปว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มโทรมาถามเรื่องงานที่ต้องส่งตอนเรียน เราเลยตอบกลับไปว่าให้ไปถามงานที่นายเอ(เอคือเพื่อนในกลุ่มมี่จะค่อยทำงานให้เสมอ) ก่อนเพราะตอนนี้เรากำลังง่วงและไม่อยากคุยด้วย พร้อมกับวางหูไปโดยไม่คิดอะไร อีกสักพักเมื่อเริ่มได้สติกลับมาเราก็ต้องรับวิ่งไปห้องน้ำและไปที่ทำงานด้วยความเร็วแสง และแน่นอนพอไปถึงหัวหน้าก็เรียกเราไปพบ ตอนนั้นเราตกใจและกลัวจะโดนดุ แต่หัวหน้ากลับบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า “ผมพยายามหาเบอร์ของนายเอแล้วแต่หาไม่เจอยังไงคุณช่วยไปตามงานมาให้ด้วยนะ” เราโล่งใจมากมากแล้วก็บอกว่าจะรีบเอางานมาให้ แล้วหัวหน้าก็บอกเราว่า ครั้งหน้าคงไม่มีเรื่องแบบนี้อีกใช่ไหม ซึ่งแน่นอนหลังจากนั้นมาเราก็ตัดสินใจว่าในวันทำงานเราจะไม่ไปปาร์ตี้จนดึกเพราะนั้นอาจจะกระทบกับการทำงานวันรุ่งขึ้นได้
เรื่องที่สองคู่ที่แตกต่าง
ในช่วงฤดูร้อนของทุกปีจะเป็นช่วงที่เราต้องทำงานแบบข้ามวันเพราะต้องสรุปรายการทั้งหมดให้ทัน ซึ่งก็ทำให้พวกเรานอนกันไม่พอ และมีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราต้องอยู่สรุปงานให้เรียบร้อยก่อนจะเข้าประชุมเช้าซึ่งกว่างานที่ทำจะเรียบร้อยก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว และพอเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องรับตื่นมาทำงานซึ่งเราก็แต่งตัวอย่างรีบเร่งและก็ออกมาแต่เช้าเพื่อให้ทันการประชุมเช้า ซึ่งเราก็เร่งมากเพื่อให้มาถึงก่อนเวลาแต่ระหว่างทางเดินมาเราก็รู้สึกเหมือนเดินไม่ค่อยถนัดซักเท่าไหร่แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะรองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งได้มาซึ่งเราก็รีบมากจนไม่ได้สนใจพอมาถึงที่ทำงานตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้วและคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดจนกระทั่งก้มลงไปดูรองเท้าเท่านั้นแหละเราก็พบว่าเราใส่รองเท้าสลับข้างกันมา แบบที่เรียกว่าสลับผิดอย่างมากเพราะข้างหนึ่งเป็นผ้าใบอีกข้างเป็นรองเท้าหนังซึ่งนั้นทำให้เราต้องรีบไปขอสลับรองเท้ากับน้องที่ทำงานเพื่อเข้าไปประชุม และหลังจากนั้นเราก็เตรียมรองเท้าอีกคู่ไว้ที่ออฟฟิศเสมอ และพอมาถึงที่ทำงานแบบนี้ ก็ทำให้เราคิดได้ว่าเราคงต้องการวันหยุดพักผ่อนจริงๆแล้วหละ
เรื่องที่สามการได้ออกไปทำงานคือความสุขจริง ๆ
สำหรับเพื่อนเพื่อนที่มีครอบครัวแล้วและยังไม่มีลูกคงยังไม่เข้าใจแต่วำหรับใครที่เคยผ่านการดูแลเด็กเล็ก ๆ มาก่อนต้องคิดแบบเดี่ยวกับเราแน่นอน ตอนที่เรามีลูกคนแรกช่วง 1 ปีแรกลูกของเราแทบจะตื่นทุก ๆ 2 ชั่วโมงโดยจะร้องเสียงดังทำให้เราและแฟนต้องพลัดกันลุกขึ้นมาดูแลซึ่งนั้นทำให้เราแทบจะไม่ได้นอนเลยและวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดเราก็ต้องค่อยดูอยู่ตลอดเวลา และทำให้เรารู้สึกว่าการได้ออกไปทำงานช่างเป็นเวลาที่แสนวิเศษ เพราะเราสามารถนอนบนรถไฟได้ถึง 40 นาที และจะหลับทุกที่ทันทีที่ร่างกายได้พิงอะไรบางอย่าง ในที่สุดฉันก็พบว่าเราสามารถนอนขณะที่ยืนได้ ใครจะไปคิดละว่าการได้ออกมาทำงานช่างเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้
เรื่องที่สี่เรื่องนอนเรื่องใหญ่
ครั้งหนึ่งในช่วงวันหยุดยาวที่ทุกคนได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเราก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องกลับไปด้วยเช่นกันซึ่งเราตัดสินใจที่จะใช้วันลาหยุดพักร้อนเพื่อที่จะได้กลับไปก่อนล่วงหน้าเพื่อลดเรื่องคนที่จะมาใช้บริการซึ่งวันนั้นก็ยังมีคนเต็มรถอยู่ดีดีซึ่งรถที่เรานั่งนั้นยังไม่มีที่นั่งแบบพิเศษที่ให้นอนได้สบาย ๆ ทำได้แค่ปรับเอนไปเพื่อนอนได้เล็กน้อยเท่านั้น พอไปถึงเราเจอหญิงสาวคนหนึ่งมาคนเดียวแต่เธอเลือกที่นั่ง 2 ที่โดยเลือกแบบที่ไม่ได้นั่งข้าง ๆ กันแต่เลือกแบบที่นั่งริมหน้าต่างและเป็นแถวถัดไปด้านหลังแทนซึ่งเราก็ไม่ได้คิดอะไรจนพอไปถึงบนรถเราก็เห็นว่าเธอมาคนเดียวและกำลังจัดแจงปรับเบาะที่นั่งให้เอนลงไปเพื่อนอนพร้อมกับหมอนซึ่งเธอนำมาเอง เราเลยถามเธอว่าที่นั่งด้านหลังว่าง ๆ จะปล่อยไว้ทำไมเธอก็กล่าวมาว่าเธอเป็นคนตื่นง่ายดังนั้นเวลาที่นอนบนรถแบบนี้แล้วมีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ที่เบาะหลังเธอขยับตัวหรือลุกเข้าออกจะทำให้เบาะที่เธอนอนสะเทือนทำให้เธอตื่นเธอเลยตัดสินใจที่จะทำแบบนี้เพื่อที่เธอจะได้นอนไปตลอดทางโดยไม่มีใครกวน ซึ่งนั้นก็เป็นแบบนั้นซะด้วยเพราะผมที่นอนไม่ค่อยหลับเพราะคนด้านหลังขยับลุกขึ้นไปมาแต่พอมองไปที่เธอก็เห็นเธอนอนสบาย ๆ ยาว ๆ เลยครั้งหน้าผมคงต้องทำแบบนี้บ้างแล้ว
เรื่องที่ห้าเราแค่ต้องการการนอนเท่านั้นเอง
เรามีงานยุ่งมากและต้องทำงานแทบจะตลอดวันทั้งอาทิตย์ ทำให้ก่อนหน้านี้เราโยนช้อนชาทิ้งลงขยะหลังจากชงกาแฟไป และ ใส่กล่องน้ำผึ้งเปล่าไว้ในตู้เย็น และล่าสุดเมื่อวานเราหายาสีฟันไม่เจอในตอนเช้าและปรากฏว่ามันอยู่ในตู้เย็นนั้นเอง และไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่เราเพิ่งกลับบ้านเราลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำเพราะอยากจะพักผ่อนสบายๆ สักหน่อยแต่เพิ่งรู้ตัวว่าเรายังสวมถุงเท้าอยู่ จากนั้นเราก็เข้าใจว่าการแช่น้ำไม่สามารถช่วยได้ที่เราต้องการคือวันหยุดพักผ่อนครั้งใหญ่แล้วหละ กับการได้นอนแบบเต็มอิ่มเท่านั้นเอง
เรื่องที่หกใครชวน
ระหว่างที่ทำงานอย่างดึกต่อเนื่องกันมาหลายคืนเราและทีมงานก็ได้กลับบ้านกัน ซึ่งผมออกจากออฟฟิศเป็นคนท้ายๆ แล้วพอไปถึงที่จอดรถก็พบน้องในทีมกำลังพยายามเปิดรถของเราอยู่ซึ่ง จริง ๆ แล้วบังเอิญรถของน้องเค้าเป็นรุ่นเดียวกันกับของเราแต่จอดอยู่ถัดไปอีกหน่อย พอเราไปถึงและบอกว่านี้เป็นรถของเราเองเค้าน่าจะจำรถผิดนะน้องก็ทำท่างงและไปมองทะเบียนรถพร้อมกับหัวเราะและขอโทษเราก่อนจะเดินจากไป ซึ่งเราก็เลยบอกไปว่าถ้าแบบนี้น้องควรจะหาคนอื่นมาขับรถหรือนอนก่อนอย่าเพิ่งขับรถเองเลย พอพูดเสร็จเราก็เดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเก็บของ และขณะนั้นก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นเอากระเป๋ามาเก็บในรถของเราพอเราหันไปก็พบว่าน้องทำหน้ายิ้มพร้อมกับบอกว่า “ผมมาคิดดูแล้วผมขอกลับรถพี่ดีกว่านะเพราะผมง่วงมาก” แล้วบ้านพี่ก็อยู่ใกล้กันพอพูดจบน้องก็ขึ้นเบาะข้างคนขับแล้วแกล้งหลับไปเลย สรุปวันนั้นผมต้องขับไปส่งน้องที่บ้านก่อนที่ตัวเองจะวนรถกลับมาที่บ้านอีกที ซึ่งผมอยากจะบอกน้องว่าพี่ก็ง่วงเหมือนกันนะที่ต้องไปส่งน้องนะ
เรื่องที่เจ็ดยินดีต้อนรับ
งานของเราคือพนักงานประจำที่ต้องอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ในช่วงที่เป็นฤดูท่องเที่ยวเราต้องใช้เวลา 9 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อพบเจอผู้คนมากมายเพื่อค่อยต้อนรับและบอกลาพวกเขา หลังจากที่ทำงานมาทั้งวัน เมื่อวานเราเหนื่อยมากตอนที่เรายืนรออยู่ที่รถไฟใต้ดินกับเพื่อน เมื่อรถไฟมาถึงเสียงระฆังดังขึ้นเบาๆ มีคนออกมาจากรถพร้อมกระเป๋า ด้วยความรู้สึกแบบไม่ได้คิดอะไรเราก็พูดขึ้นทันทีว่า “สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่โรงแรมของเรา” พร้อมกับเดินเข้าไปช่วยเค้าเข็นกระเป๋าทันที่ ดีนะที่เพื่อนของเรามาด้วยและสะกิดเราบอกว่าตอนนี้เลิกงานแล้วเราสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะบอกขอโทษเจ้าของกระเป๋า ก่อนที่เพื่อนของเราจะหัวเราะเราไปตลอดเส้นทางการกลับบ้าน
© steladotio / pixabay
เรื่องที่แปดถ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ
วันหนึ่งหลังจากที่่เรากำลังออกจากสถานีรถไฟใต้ดินหลังจากเลิกงานซึ่งมันดึกมากแล้วและดเราก็หมดแรงและอารมณ์อยากนอนมากๆ จากนั้นผู้ชายคนหนึ่งก็หยิบกระเป๋าของเราและเริ่มวิ่งออกไป เราตกตะลึงแต่ด้วยความง่วงก็เลยไม่สนใจ แม้ว่าเขาจะเอาอะไรไปก็ช่างมันเถอะ เลยนั่งต่อไปเรื่อย ๆ จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็กลับมาและคืนกระเป๋าให้เราและพูดว่า “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคุณควรลุกขึ้นร้องบอกหรืออาจจะวิ่งตามผมบ้างสิ เล่นนั่งนิ่ง ๆ แบบนี้ก็เซ็งเลยผมไปหละ” แล้วเขาก็เดินหนีไป
แล้วเพื่อนเพื่อนละมีเรื่องตลกอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนเพื่อนบ้างเมื่อคุณต้องออกไปทำอะไรก็ตามทั้งที่ยังง่วงอยู่ ลองแบ่งปันเรื่องราวเหล่านั้นกับเราในส่วนความคิดเห็นด้านล่างได้เลยนะ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน