เรื่องราวเล็กๆน้อยๆบ้างอย่างที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของเรานั้นบ้างเรื่องก็อาจจะไม่ต้องเอามาใส่ใจแต่กลับบ้างเรื่องแล้วถึงมันจะดูเล็กน้อยมากมากในสายตาของใครต่อใครก็ตามแต่ก้ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามันอาจจะเป็นเรื่องราวที่ขยายใหญ่โตขึ้นมาก็ได้
พวกเราที่เพลินเพลินนั่งคุยกันอยู่นานก่อนที่ตัดสินใจจะลองเขียนเรื่องราวของผู้อ่านบางคนส่งข้อมุลเพื่อบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อใครๆ อีกหลายหลายคน ซึ่งเมื่อเราลองอ่านแล้วก็คิดเหมือนกันว่ามันอาจช่วยให้ผู้ปกครองของอีกหลายหลายคน ได้ทำในสิ่งที่ดีหรือไม่ตัดสินใจทำสิ่งเหล่านี้
เรื่องแรกคำขอโทษนั้นสำคัญ
เมื่อครั้งที่เรายังอยู่กับพ่อแม่มีคำพูดหนึ่งที่แม่พูดกับเราซึ่งเรายังคงจำได้ดีแม้ผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ตอนนั้นพวกเราต้างออกไปพักอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ของพี่ชายเพราะพวกเรากำลังรีโนเวทบ้านใหม่ ซึ่งกุญแจห้องพักจะเป็นบัตรซึ่งมีแค่ 2 ใบเท่านั้น(ซึ่งถ้าทำบัตรเพิ่มต้องไปขอให้ทางตึกทำให้ซึ่งพวกเราคุยกันว่าในสลับกันใช้ก็น่าจะดีกว่า) มีอยู่วันหนึ่งก่อนที่แม่จะออกไปทำงานบอกให้เราไปตลาดเพื่อซื้อของ แต่พอเรากำลังจะออกจากห้องไปถึงรู้ว่ากุญแจไม่อยู่แล้วซึ่งปรกติแล้วมันจะต้องแขวนกุญแจไว้ที่หน้าทางเข้าห้อง เราหาทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เจอ เลยโทรหาแม่และบอกว่าหากุญแจไม่เจอ ทำให้เราออกไปไม่ได้ แต่แม่ก็ตอบกลับด้วยคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีว่าแม่บอกว่า “เราไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลยแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้” แล้วเราก็ไม่ได้ออกไปไหนนั่งรอทุกคนกลับมาบ้านถึงได้พบว่า พี่ชายของเราเอากุญแจติดไปทั้ง2ใบ โดยไม่ทันสังเกต เมื่อทุกคนรวมทั้งแม่ทราบแล้วก็ทำเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เรายังจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่วันนั้นเราก็สนิทกับแม่น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะแม่ไม่แม้แต่จะบอกขอโทษเราในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ (เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่าการพูดคำขอโทษกับคนที่อ่อนวัยกว่า หรือ กับทุกๆคนนั้นมีค่ามากเพราะคำกล่าวหาในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำนั้นมันช่างยิ่งใหญ่และฝั่งรากลึกลงไปจนยากจะถอนออกมาได้ แต่ด้วยการยอมพูดคำง่าย ๆ อย่างการบอกขอโทษอาจช่วยให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ ดังนั้นจงอย่าลังเลที่จะพูดคำนี้เมื่อคุณทำพลาด)
เรื่องที่สองลองคุยกันก่อน
ตอนนั้นเราอายุแค่ 12 หรือ 13 ปี เป็นวันที่อากาศสดใส เราออกไปซื้อของและมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย พอซื้อของเสร็จ เรารู้สึกบางอย่างเลยเดินไปที่ร้านขายดอกไม้ เพื่อเข้าแถวและซื้อดอกไม้ให้แม่เพื่อกะจะเซอร์ไพร์สท่าน เราดีใจมาก และวิ่งกลับบ้านเพื่อรับเซอร์ไพรส์ แต่พอเปิดประตูเข้าไปเรายังไม่ได้พูดอะไรเลยและแม่มองเห็นดอกไม้ในมือของเรา แม่กลับพูดว่า “ทำไมลูกถึงเลือกแต่ของไม่เป็นเรื่องแบบนี้นะ” มันทำให้เรานิ่งไปเลยเพราะเราตั้งใจเอามาให้แม่เพื่อบอกขอบคุณที่ท่านค่อยดูแลเรา แต่ท่านกลับคิดว่าเราเอาแต่เลือกของเล่นไปวันๆ เท่านั้น ตั้งแต่วันนั้นเราก็แทบไม่เดินผ่านหน้าร้านดอกไม้อีกเลย (เรื่องนี้บอกเราว่าก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกไปควรสอบถามต้นสายปลายเหตุต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนเพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เราคิดกับความจริงนั้นมันเป็นเช่นไร)
เรื่องที่สามคนในบ้านก็เก่งได้
ตอนเรายังเป็นเด็กแถวบ้านเรามีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเราอยู่อีก 4 คนซึ่งพวกเราสนิทกันมากมากเรียกได้ว่าไปไหนไปกันเราช่วยกันทำทุกอย่างตั้งแต่แบ่งของเล่นหรือทำงานบ้านของเพื่อนๆ ให้เสร็จเพื่อที่จะได้ออกมาเล่นพร้อมๆกัน ทุกอย่างมันดูดีมากมากจนกระทั่งเราเริ่มเข้าเรียนมัธยมต้นแม่ของเราเริ่มพูดถึงเพื่อนของเราตอนเวลาทานข้าวเย็นเสมอ ๆ โดยมักบอกถึงความเก่งของเพื่อนเราว่าคนนั้นคิดเลขเร็ว คนนี้เป็นนักกีฬา โดยไม่กล่าวชมเราสักนิดทั้งทั้งที่เราก็คิดว่าเราก็มีสิ่งที่เราทำได้ดีนั้นก็คือการใช้ภาษา ซึ่งเราก็แอบเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอดจนมาถึงตอนนี้เราทำงานเป็นผู้ช่วยทางด้านภาษาของบริษัทชั้นนำเราทำทุกอย่างได้ดีแต่ก็ยังอยากให้แม่ชมเราเหมือนชมเพื่อนคนอื่น ๆ ของเราบ้าง (การชมหรือพูดถึงคนอื่น ๆ นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าคุณกำลังพูดเพื่อหวังจะทำให้มันเป็นสิ่งกระตุ้นหรือเปรียบเทียบกับใครบางคนในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะเราควรให้กำลังใจและสนับสนุนด้วยการพูดถึงสิ่งที่เราทำได้มันจะดีกว่าและส่งผลให้เกิดการพัฒนาได้มากกว่า)
เรื่องที่สี่โอกาสปิดได้เสมอ
เราจำได้ว่าตอนอายุ 5 ขวบ เราเริ่มแต่งกลอน เพราะมันสนุกมากเพราะการจินตนาการถึงบางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในตอนแรกเราอายที่จะเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่ในที่สุดเราก็อ่านบทกลอนที่แต่งขึ้นเองให้แม่ฟัง แต่แม่กลับบอกฉันว่า มันฟังดูตลกและยังขาดอีกหลาย ๆ อย่างและบอกให้เราไปเล่นอย่างอื่นแทน หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยคิดที่จะเขียนบทกลอนอีกเลยและเหมือนว่าความสามารถนี้ของเราถูกลบออกไปทันที (สำหรับทุกคนที่ได้เริ่มหรือลงมือทำสิ่งที่ไม่เคยได้ทำมาก่อนนั้นเป็นสิ่งดีเพราะเราก็คาดการณ์อะไรไม่ได้หรอกว่าใครจะทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นเมื่อคุณมองเห็นคนที่เพิ่งเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ สิ่งที่ต้องทำคือการส่งเสริมและให้กำลังใจ คำชมในความกล้าที่จะลงมือมันดีกว่า คำติถึงสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเพราะไม่มีใครทำทุกอย่างได้ดีพร้อมเสมอไปหรอก และเราก็ไม่รู้ว่าได้ปิดโอกาสของอะไรไปบ้าง)
เรื่องที่ห้าความเชื่อใจ
เรื่องสุดท้ายของเราในวันนี้หลังจากผ่านเรื่องที่ไม่ควรทำมาแล้วสี่เรื่องเราอยากจะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวดีดีที่คุณอาจจะลองเอาไปใช้งานดูสักหน่อย เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนของเราทางอินเทอร์เน็ตท่านหนึ่งเขียนมาบอกเราว่าตอนที่เขายังเด็กและต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งซึ่งจะบอกว่าระเบียนจัดมากมากก็ได้ โดยครั้งแรกก่อนจะเข้าเรียนในวันที่เรียกประชุมทั้งเด็กและพ่อแม่นั้นทางโรงเรียนบอกสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องทำทั้งระเบียนของที่โรงเรียนและบอกไปถึงเรื่องที่พ่อแม่ควรจะทำเมื่ออยู่ที่บ้านด้วย นั้นก็คือการตรวจกระเป๋า หรือ เข้ามาดูใน Email บ้างโดยบอกว่าเพื่อป้องกันบางสิ่งบางอย่างซึ่งพ่อแม่กลับมาที่บ้านและบอกสิ่งนี้กับเรา พร้อมทั้งท่านบอกว่า “เราเชื่อในตัวลูกนะว่าถ้ามีอะไรลูกจะบอกเราใช่ไหม” และท่านก็ไม่ได้มาค่อยตรวจอะไรเราเลยตั้งแต่วันแรกจนเราเรียนจบซึ่งเราก็ดีใจที่ท่านเชื่อว่าเราจะเลือกทำในสิ่งที่ดีและมั่นใจว่าเราจะไปปรึกษาท่านในเรื่องต่างๆ ได้เสมอ และนั้นก็คือสิ่งที่เราทำมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงความสนิทระหว่างครอบครัวเราเลยเพราะเราคุยกันได้ทุกเรื่องจริง ๆและท่านจะฟังจนกว่าเราจะพูดจบแล้วค่อยให้คำปรึกษาต่าง ๆ บ้างครั้งเราอาจจะเห็นไม่ตรงกันแต่ด้วยการคุยกันอย่างครอบครัวทุกอย่างก็ผ่านมาได้และผ่านมาได้ดีมากมากด้วย
แล้วเพื่อนเพื่อนละคุณเคยทำสิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่าแต่ทำอะไรที่สร้างสรรคืและส่งเสริมใครบ้าง ลองแบ่งปันเรื่องราว รูปภาพและความคิดเห็นของคุณในเพจของเราสิเพื่อที่ว่าเพื่อนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็จะได้เอาสิ่งดีดีไปใช้กันได้
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน