อารมณ์ขันที่มาจากความจริงที่ฟังแล้วบางอันก็จุกไปเหมือนกัน

สิ่งหนึ่งที่เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นก็คือพวกเราจะได้พบกับความเป็นไปหลายหลายอย่างที่เราไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ เพียงเพราะตอนเป็นเด็กเรานั้นต่างไม่มีกำแพงในการกันขวางหรือแบ่งแยกใคร แต่พอเราต้องเริ่มทำงานและพบเจอผู้คนมากขึ้นก็ต้องพบกับความท้าทายในชีวิต และได้รับรู้ความจริงอีกด้านของที่เราไม่เคยเจอมาก่อน นั้นคือคำพูดและการแสดงออกของเหล่าบรรดาคนรอบตัวเราที่อาจจะมีทั้งมิตรและคนที่ไม่ค่อยชอบเราก็ตามที ซึ่งหากเรามองไปว่าเป็นเรื่องตลกมันก็ขำพอและผ่านไปได้ แต่ถ้าเราไม่แกร่งพอมันก็อาจจะเจ็บตัวอยู่สักหน่อย แต่ให้เชื่อเถอะว่าวันเวลาและการพบเจอเรื่องนี้บ่อยๆก็จะทำให้เราได้เติบโตและมองข้ามสิ่งเหล่านี้ และโฟกัสกับผลงานของเราที่จะทำให้มันดีที่สุดต่างหาก และวันนี้เราก็ได้รวบรวมเอาคำพูดที่สะท้อนความเป็นไปซึ่งอาจจะโดนใจใครหลายหลายคน และหากเราผ่านไปได้มันก็จะเป็นเรื่องขำๆเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง มาลองอ่านลองฟังกันเลยว่าอันไหนบ้างที่จะทำให้เพื่อนเพื่อนต้องจุกและอันไหนบ้างที่จะเรียกรอยยิ้มของคุณออกมาได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจิรง ๆ กับเพื่อนเพื่อนของเราและอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นกับเพื่อนเพื่อนเหมือนกันนั้นเอง

ไปเดินเล่น

หลายปีก่อนตอนที่เราเพิ่งจะเริ่มทำงานใหม่ๆ เวลาที่เพื่อนเพื่อนชวนกันไปเดินห้างเพื่อช้อปข้าวของใหม่ๆ ตอนต้นเดือน จะมีเราและเพื่อนอีกคนเท่านั้นที่แทบจะไมไ่ด้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เลย ทั้งที่พวกเราเดินเข้าร้านมองไปที่เสื้อ ชุดเดรส และกางเกงยีนส์ซึ่งสิ่งเหล่า หรือเสื้อยืดลายสวยๆ และลงท้ายของเราก็คือเรามักจะได้ถุงเท้าคู่ใหม่ที่ใช้สำหรับสวมไปทำงาน นั้นไม่ใช่ว่าเราไม่อยากได้แต่เราอยากจะเก็บเงินไว้เพื่อทำในสิ่งที่จำเป็นมากกว่าเท่านั้นเอง และนั้นคือการเดินเล่นจริง ๆ ของเราในสมัยนั้น

เข้าใจในวันที่ได้เป็น

เคยมีหลายคนบอกว่า คุณจะเข้าใจและเข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เมื่อคุณได้เป็นสิ่งนั้น และวันนี้เราก็เข้าใจความรักของแม่ที่มีให้เรา ทั้งสายตาและความรู้สึกที่เคยเห็นผ่านมามันย้อนกลับมาให้เราได้คิดในตอนที่เราเพิ่งคลอดลูกและได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก “หนูรักแม่นะ” และอยากบอกเพื่อนเพื่อนคนอื่นๆ ว่าเราขอโทษคนอื่นมากมายแต่ไม่เคยขอโทษแม่เลย เราบอกรักเพื่อนและแฟนได้แล้วทำไมจะบอกรักแม่ไม่ได้

อยากตอบตรงๆแต่ไม่ได้

หลายครั้งที่เราออกไปสัมภาษท์งานและต้องเจอกับคำถามที่ว่า “ทำไมคุณถึงต้องการทำงานกับบริษัทของเรา” อยากจะบอกออกไปดังๆว่า เราลองไปที่อื่นแล้วและอยากจะได้งานที่ทำแล้วได้เงินเดือนสูงกับทำงานแค่อาทิตย์ละสามวันแต่เค้าไม่เลือกไง ก็เลยต้องมาหาบริษัทนี้ที่เค้าเรียกสัมภาษท์ตอบแบบนี้ตรง จะยอมรับกันเหรอไงครับท่านรุ่นพี่ทั้งหลาย

ที่ส่งให้เยอะเพราะแบบนี้แหละ

บางครั้งเหตุผลที่คนคนรู้จักของเราส่งข้อความหากันผ่านแอปต่าง ๆ บ่อยๆ บอกเล่าและอวยพรหรือแสดงความห่วงใยมากมากนั้นมันไม่ได้เป็นเพราะพวกเค้าสนิทสนมกับเรามากหรอก แต่เพราะมันฟรีต่างหาก

แล้วทำไมต้องใช้

เคยสงสัยกันบางไหมว่าทำไมผู้คนต้องการหลอดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งๆที่ตอนที่พวกเราอยู่บ้านเราก็สามารถดื่มน้ำโดยไม่ใช้หลอดได้

สมัยไหนกันแล้ว

เมื่อเราไปซื้อของจำเป็นที่ร้านขายของแถวบ้าน

  • เรา: ขอวิตซี ทิชชู่ และผ้าอนามัยค่ะ
  • พนักงานขาย:รอสักครู่ครับ เดี๋ยวผมจะเรียกพนักงานขายผู้หญิงก่อนนะครับ
  • ศตวรรษที่ 21 แล้วผู้ชายยังกลัวผ้าอนามัยอีกหรือ?

งานมักจะเข้าตอนที่เราไม่อยู่เสมอ

เรื่องตลกเมื่อคุณไปทำงานนั้นก็คือเมื่อตอนที่นั่งอยู่หน้าคอมเตรียมพร้อมทำงานและรอการแจ้งเคสจากทีมอื่นๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และมันก็ผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำแค่ 10 นาทีกลับมาก็พบว่ามีสายเรียกเข้าเป็นสิบและเคสบนหน้าจอกระพริบเตือนเพียบไปหมด

พอดีซะงั้น

เรื่องตลกคือเมื่อคุณไปร้านแล้วขอลองเสื้อ over sized แต่ปรากฏว่ามันพอดีตัวเราซะงั้น

แล้วเพื่อนเพื่อนละมีเรื่องราวอันไหนบ้างที่ตรงใจคุณบ้างและอยากจะบอกอะไรเราเพิ่มอีกหรือเปล่ายังไงก็ตอบกันในคอมเมนต์ได้เลยนะ
เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน