ในปี 2013 ภาพยนตร์ Frozen ได้เข้าไปอยู่ในใจของหลาย ๆ คน ซึ่งมันทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยมีรายได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับภาพยนตร์อนิเมชั่นอื่นๆ ในนั้น เด็กหญิงตัวน้อยแทบทุกคนร้องเพลง “Let It Go”และ Frozen กลายเป็นตัวละครที่โด่งดังและเป็นที่คลั่งไคล้ ในตอนแรกมันดูเหมือนภาพยนตร์เพลงของเจ้าหญิงเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ Frozen มีข้ามเส้นภาพยนต์เพลงไปอีกขั้น ถ้าเรามองลงไปให้ลึกซึ่งถึงรายละเอียด และ ลองคิดอย่างทบทวนดูจะพบว่า มันเป็นผลงานชิ้นเอก อีกชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้

หลังจากที่เราได้ลองดูภาพยนตร์ยอดฮิตเรื่องนี้หลาย ๆ รอบ พบรายละเอียดที่ชวนให้น่าหลงใหลมากมาย มันแถบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่ได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้จะไม่ตกหลุมรักมัน โปรดระวัง : เรากำลังจะพูดถึงเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ภาคแรก!

1. ความไม่สมบูรณ์ที่สมบูรณ์แบบ: ตัวละครที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของเราเรียบร้อยแล้ว
เป็นการยากที่จะปฏิเสธว่าตัวละครใน Frozen มีบุคลิกที่โดดเด่น ตัวละครแต่ละตัวไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาต้องต่อสู้กับกิเลสในใจของตัวเอง บางคนมีความทะเยอทะยาน และ บางคนมีลักษณะที่ขี้กลัว – และนั่นคือสาเหตุที่ว่า เมื่อเราได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้จบลงแล้ว บางคนถึงได้อินไปกับเนื้อหาของภาพยนต์ และมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่ตัวละครได้รับในเนื้อเรื่อง
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
แอนนา เป็นตัวละครที่ชอบทานอาหาร รักในขนมหวาน โดยรวมแล้วเธอเป็นคนตลก และ ออกจะดูเปิ่นๆ บาง แต่มันกลับสร้างแรงดึงดูดให้ รักตัวละครตัวนี้ได้แบบไม่น่าเชื่อ เธอเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ ที่เด็ก ๆคนไหนก็เป็นแบบนั้นได้ เธอใจกว้างและมีความห่วงใยกับผู้คน เธอผูกพันและ รักพี่สาวของเธอ และด้วยความรักของแอนนาที่มีต่อพี่สาวนี้เองที่ทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวของพี่สาวของเธอมากกว่าใครใคร
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
เอลซ่า ตัวเอกของเรื่องเธอมีบุคลิกที่ซับซ้อนมาก เธอพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามกฎที่เธอสร้างขึ้น เธอแสดงให้เห็นจุดแข็งในจุดอ่อน ความเป็นตัวของตัวเองของเธอเป็นสิ่งที่เธอ ต้องปิดซ่อนไว้ เหมือนที่หลาย ๆ คนทำในทุกวันนี้ เธอเป็นตัวละครที่น่าทึ่งมาก เพราะเธอมีภาระและหน้าที่มากมาย มากกว่าที่ผู้หญิงทุกคนจะทำมันได้หมด เธอต้องต่อสู้กับความรู้สึกในใจของตัวเองและ สิ่งที่คนอื่น ๆ สร้างให้เธอ แต่สุดท้ายเธอก็สามารถหาค้นพบสิ่งที่วิเศษที่สุดนั้นคือ เธอได้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว และ เธอยังมีคนที่รักเธออีกมากมาย

2. หนังหลอกพวกเราทุกคน โดยที่เราไม่ได้สังเกต
ฮันส์ดูเหมือนเป็นคนทั่วไปที่ “สะท้อน” ให้เห็นภาพใครสักคน ที่เขาพยายามทำให้ตัวเองดูแตกต่างกับคนอื่นๆ แต่กับแอนนา เขาทำตัวตลก เงอะงะ และใช้คำพูดที่เธออยากได้ยิน เขาเป็นทหารที่กล้าหาญใจดีกับพลเมือง แต่แล้วฮันส์ก็กลับกลายเป็นคนชั่วร้าย แผนการต่าง ๆ ถูกเตรียมไว้อย่างดีและแนบเนียน เขาเป็นคนชั่วร้ายตั้งแต่แรก และ เขาก็ไม่เพียงหลอกแอนนา แต่ยังหลอกพวกเราทุกคนด้วย
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
มีรายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆ มากมายที่แสดงให้เห็นธรรมชาติของเขา ขณะร้องเพลง“ I’ve Found My Place” เขาไม่ได้ชี้ไปที่แอนนา แต่เขาชี้ไปที่อาเรนเดล จำช่วงเวลาที่ฮันส์ “ช่วย”เอลซาในปราสาทของเธอได้ไหม เขาต้องการให้มันดูราวกับว่าเขาช่วยชีวิตเธอไว้ แต่ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนทิศทางของหน้าไม้ เขาได้สังเกตเห็นโคมระย้าและรู้ว่าจะกำหนดเป้าหมายได้อย่างไร ซึ่งเหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้เขาดูเหมือนเป็นวีรบุรุษ แต่จริง ๆแล้ว เขายังคงเดินหน้าแผนการร้ายที่จะทำร้ายเธอต่อไปได้

3. “ Let It Go” นอกจากมันจะเป็นเพลงที่สร้างความประทับใจให้หลาย ๆ คนแล้วมันยังเพลงที่สร้างพรหมลิขิตได้อีกด้วย
ในตอนแรกที่ทีมงานเริ่มสร้าง เอลซา มีบุคลิก และนิสัยอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อทีมงานได้ฟัง เพลง “ Let It Go” พวกเขาชอบเพลงมากๆ พวกเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเพลงดังนั้น จึงกลับมาปรับเปลี่ยน เอลซาจนในที่สุดก็ได้เธออย่างที่เราได้เห็นกัน
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
เพลงนี้มีความสำคัญต่อเอลซามาก มันเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องกลายเป็นตัวของตัวเอง ก่อนหน้านั้นเธอพยายามอย่างหนักตที่จะเป็นผู้หญิงแบบที่พ่อแม่ของเธออยากให้เป็น เธอแต่งตัวและจัดแต่งทรงผมเหมือนที่แม่ของเธอเคยทำ แต่เมื่อเธอหนีออกมาจากกรอบทีเธอสร้างขึ้น เธอก็เป็นตัวของตัวเอง

เธอทิ้งถุงมือของเธอและเสื้อคลุมพิธีบรมราชาภิเษกที่หนักอึ้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอดีตของเธอ และความคาดหวังที่เธอพยายามทำตาม ขณะที่เธอขึ้นไปบนภูเขาอย่างช้าๆ หลังจากปลดภาระทิ้งไป เธอก็เริ่มตามหาตัวตนของตัวเอง เธอเปลี่ยนชุดและทรงผม แล้วได้เริ่มชีวิตใหม่ที่จะสร้างความสุขให้เธออย่างแท้จริง

4. Frozen แหกกฎของเทพนิยายดั้งเดิม
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
Frozen ท้าทายมาตรฐานของดิสนีย์ที่เคยเป็นมา แม้ว่าจะมีความเป็นดิสนีย์อยู่บ้างในภาพยนตร์ แต่หนังมีความท้าทายและทำให้เกิดคำถามอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง “เจ้าชายที่สมบูรณ์แบบ” (ฮันส์) กลายเป็นคนไม่ดีและตำแหน่งเจ้าชายกลับตกไปที่ คริสทอฟ ซึ่งห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ ตัวละครที่แข็งแกร่งที่สุด คือ ผู้หญิง เอลซาที่แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถยืนหยัด และ ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และ แอนนา อีกตัวละครในฐานะเจ้าหญิง ก็ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบของเจ้าหญิง แต่มีพฤติกรรมเหมือนเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ แต่คุณจะต้องตกหลุมรักคนที่ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาคนนี้แน่นอน สุดท้ายเอลซ่าก็ทลายประตูของคำว่า “เจ้าหญิงที่สมบูรณ์แบบ” ลงและสร้างมาตราฐานใหม่ของเจ้าหญิงผู้แข็งแกร่ง แต่น่ารัก

5. ความลับของความหมายของประตูและถุงมือที่ถูกซ่อนอยู่
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยประตู ซึ่งมันถูกใช้เป็นตัวแทนของอุปสรรค การถูกปิดกั้นและไม่ได้รับโอกาส ประตูถูกนำมาใช้ในฉากต่าง ๆ บ่อยครั้งมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้นเราจะพูดถึงตอนที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ประการแรกประตูสู่ห้องของเอลซ่า มันคือสิ่งที่ใช้แยกเด็กหญิงทั้งสองออกจากกันเป็นเวลาหลายปี มันทำให้พี่น้องห่างเหินกัน นอกจากนี้ยังมีประตูปราสาทที่ล็อคแอนนาอยู่ข้างใน ซึ่งเอลซ่าปิดมันตอนท้ายเพลง“ Let It Go” และประตูปราสาทแสดงให้เห็นคริสทอฟที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาเป็นคนที่นำแอนนากลับมา โดยที่ในตอนแรกเราคิดว่าเขาจะทิ้งเธอไปตลอดกาลซะแล้ว และ ฮันส์กลับบท ที่ปิดประตูเพื่อปล่อยให้แอนนาพบกับปัญหาอันหนักหน่วง ตัวตัวคนเดียว
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
สัญลักษณ์อื่นๆ เช่นถุงมือ มันจะปรากฏขึ้นเมื่อพ่อของเอลซ่าบอกกับเธอว่า“ ปิดบังความรู้สึกไว้อย่าแสดงมันออกมา” และนั่นก็เป็นความหมายของถุงมือ พวกเขาแสดงให้เราเห็นว่ามักจะมีอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้ เอลซาใส่มันตลอดเวลา และพยายามที่จะเป็นคนเธอควรจะเป็น อย่างเป็นผู้หญิงที่ดูดี จนเมื่อเธอหนีไป เธอตัดสินใจที่จะไม่ซ่อนความรู้สึกจริง ๆ อีกต่อไปแล้ว เธอจึงโยนถุงมือของเธอทิ้งไป
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
น่าแปลกที่เอลซ่าไม่ใช่คนเดียวในภาพยนตร์ที่สวมถุงมือ และหนึ่งในตัวละครที่ใส่ถุงมือนั้นคือ … ฮันส์! เขาสวมใส่มันตลอดทั้งเรื่อง แสดงให้เห็นว่าเขาซ่อนบุคลิกภาพและความตั้งใจของเขาตลอดเวลา ช่วงเวลาเดียวที่เขาถอดมันออกไป คือ เมื่อเขาเปิดเผยความตั้งใจที่แท้จริงและแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาต่อแอนนา ก่อนที่เขาจะออกจากห้องที่เขาทิ้งแอนนาไป เขากลับมาสวมถุงมืออีกครั้ง

6. โอลาฟเป็นมากกว่ามนุษย์หิมะที่โง่เขลา
แอนนาและเอลซ่าสร้างโอลาฟมาด้วยกัน เมื่อพวกเขายังเป็นเด็กและ มันเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อกันและกัน มันคือความไร้เดียงสาของพวกเขา และนั่นเป็นจุดแตกหัก เมื่อเอลซ่าบังเอิญพบกับพลังของตัวเองที่เผลอทำร้ายแอนนา ซึ่งทำให้เวลาของความสุขของพวกเธอหมดลง เพลง “Do You Want to Build a Snowman?” ซึ่งเกี่ยวกับการที่แอนนาต้องการหวนคืนความใกล้ชิดของพวกเขาและถึงแม้ว่ามันจะทำให้เราปวดใจ เพราะจริงๆ เราก็รู้ว่าเอลซ่าต้องการจะออกไปและสร้างมนุษย์หิมะด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเธอจึง สร้างตุ๊กตามนุษย์หิมะทันที่เมื่อเธอหนีออกมา นอกจากนี้ยังมีช่วงเวลาที่สำคัญมากในภาพยนตร์เมื่อเอลซาเห็นโอลาฟในปราสาทของเธอ เพราะเธอรู้ตัวว่าเธอสามารถสร้างบางสิ่งที่ดี ตลก และมีชีวิตชีวาได้

7. แม้แต่สีก็มีความสำคัญในการเล่าเรื่อง
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
สีสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ และบุคลิก และความรู้สึกของตัวละคร ตัวอย่างเช่น แอนนามีผมสีแดงและมักสวมชุดที่มีสีเขียวที่แสดงถึงความ “อบอุ่น” ในขณะที่ผมของเอลซาเป็นสีขาวและเธอมักแต่งกายในโทนสีฟ้าซึ่งแสดงให้เห็นถึงความ “เย็น” ชุดพิธีบรมราชาภิเษกของเป็นสีประจำชาติของ Arendelle: สีม่วงและสีเขียว
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ ปราสาทน้ำแข็งของเอลซ่าเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของเธอ มันเป็นสีฟ้าเมื่อเธอสงบและมีความสุข เป็นสีแดงเมื่อเธอกลัว และสีเหลืองเมื่อเธอโกรธ

8. มีเรื่องราวที่ลึกซึ้ง มากกว่า จะเป็นแค่เรื่องราวของพี่น้องร้องเพลง
© Frozen / Walt Disney Animation Studios
ใช่หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของความรักของพี่น้อง 2 คน แต่มีอีกหลายสิ่งที่ Frozen สอนไว้ คริสทอฟและแอนนาแสดงให้เราเห็นว่าการค้นหาความรักต้องใช้เวลาและความพยายาม และนั่นหมายถึงการเอาชนะความยากลำบากด้วยกัน ช่วยเหลือกันและกันในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ปัญหาของเอลซ่าที่เกิดขึ้นในระหว่างพิธีราชาภิเษก มือของเอลซาสั่นเทา เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลและความหวาดกลัวและสิ่งที่เอลซ่าทำ คือ ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่แบบเธอเป็น ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่าคนที่มีความผิดปกติทางจิตใจไม่ได้ “บ้า” เสมอไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังบอกเราเกี่ยวกับการยอมรับตนเองและความสำคัญของการเป็นตัวของตัวเอง

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน9i