13 เรื่องราวสั้นสั้นของเพื่อนในอินเทอร์เน็ตที่มารู้ทีหลังว่าตัวเอง “เปิ่น” แค่ไหน

วันนี้เรามีเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่เป็นเรื่องราวความเปิ่นของเพื่อนๆของเรา ที่หาอ่านได้บนโลกอินเทอร์เน็ตโดยที่พวกเค้าก็ใช้ชีวิตประจำวันตามปรกติ แต่กลับเพิ่งรู้ว่าข้าวของเครื่องใช้หรือเรื่องราวที่เค้าเข้าใจหรือคิดไปเองว่าเข้าใจถูกแต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และบางคนต้องใช้เวลานานมากกว่าจะรู้ว่าสิ่งๆนี้ที่ดูง่าย ๆ ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พวกเรารวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นพบความเปิ่นของตัวเองมากมายและลองคัดบางเรื่องมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เราไปเริ่มกันเลยดีกว่า

    เรื่องที่หนึ่ง

พึ่งรู้สึกตัว..  เรื่องมีอยู่ว่าเช้าวันอันแสนธรรมดาวันหนึ่ง เราออกมาที่สำนักงานบริการของบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อจ่ายค่าบริการอินเทอร์เน็ตของเขา พอถึงคิวของเราพนักงานก็เรียกเบอร์และเราก็เดินเข้าไปชำระเงินเต็มจำนวนตามปรกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้จัดการสาขาเดินออกมาบอกเราว่า “คุณครับทางเรายินดีลดค่าบริการให้คุณลง 65% ครับ เพราะคุณเป็นลูกค้าชั้นดี” เราตกใจเลยถามไปว่า“ ทำไมหรอ? นี่คุณจะได้กำไรหรอคะ” เขาเลยตอบมาว่า “เราได้อยู่แล้วหละครับ ” เพราะลูกค้าส่วนใหญ่พอใช้บริการครบ 1 ปีแรก ลูกค้าส่วนใหญ่นต่างร้องขอส่วนลดจากเราทั้งนั้น มีแต่คุณลูกค้าแหละครับที่จ่ายเต็มจำนวนมาหลายปีโดยไม่ได้แจ้งขออะไรเลย ผมเลยตัดสินใจมอบส่วนลดพิเศษให้ หลังจากได้ยินคำตอบแล้ว เราก็ยืนนิ่งถือใบเสร็จที่พึ่งจ่ายเงินไปเต็มจำนวน แล้วก็ค่อยๆตระหนักว่านี้ตรูเป็นอะไรทำไม ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนนะ … © DimaVershinin / Pikabu

    เรื่องที่สอง

เราสังเกตุว่าร้านอาหารจีนเกือบทุกร้านแถวบ้าน จะเขียนป้ายหน้าร้านด้วยตัวหนังสือจีนที่เหมือนกันเกือบทุกร้าน เราอยากรู้เสมอว่ามันแปลว่าอะไรแต่เราก็ลืมไปทุกครั้ง และแล้วในที่สุดอาทิตย์ที่ผ่านมาก เราก็ตัดสินใจถามพนังงานในร้าน และเราก็ได้รู้ว่ามันแปลว่า “ร้านอาหาร” นั่นเอง  ©TiredOStrich / Reddit

    เรื่องที่สาม

เราคิดมาตลอดว่าแมวน่าจะมีนิ้วเท้า เพราะเคยเห็นชัดๆในหนังสือมาแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสเล่นกับแมวของเพื่อนบ้าน เราเลยลองดูอุ้งเท้าของแมวตัวจริงๆ และเริ่มหัวเราะอยู่คนเดียวอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดที่เคยมีมา (ในใจคิดว่าเรานี้เก่งจริง ๆ ที่รู้ว่าแมวมีนิ้วแบบนี้ อีกใจก็รู้สึกตัวเองติงต๊องยังไงไม่รู้) © Tinymaffy / Reddit

    เรื่องที่สี่

ตอนยังเด็กมากมากเราเลี้ยงกระต่ายไว้ตัวหนึ่ง ต่อมาแม่บอกว่ากระต่ายของเราที่ชื่อโรซี่จะต้องกลับไปอยู่ที่ฟาร์ม และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอเจ้าโรซี่อีกเลย พอโตขึ้นอายุสักยี่สิบปีเห็นจะได้ เราได้ดูซีรี่ย์เรื่องหนึ่ง มีตัวละครที่ชื่อโทนี่ เค้าเลี้ยงหมาและแม่ของเค้าก็บอกว่า หมาของเค้าต้องกลับไปที่ฟาร์ม แต่จริงๆ แล้วเจ้าหมานั้นกำลังจะไปสวรรค์ต่างหาก ในตอนนั่นเองเราถึงตะหนักได้ว่าเจ้าโรซี่ของเราไม่ได้ไปอยู่ที่ฟาร์มหรอก พอคิดได้เท่านั้นละ แง่ๆ (เราร้องใหญ่เลยจนที่บ้านงงว่าเราอินกับหนังมากไปหรือเปล่า)  © tweak0 / Reddit

    เรื่องที่ห้า

ในตึกใหม่ที่ฉันพึ่งย้ายเข้าไปทำงาน ตรงล๊อบบี้จะมีที่ๆเอาไว้วางของใช้ต่างๆที่ไม่ใช้แล้วอย่าง เฟอร์นิเจอร์ และเสื้อผ้าที่พวกเขาไม่ต้องการ วันหนึ่งฉันพบว่าออฟฟิศข้างๆยกของออกมาวางไว้และมันยังดูดีมากมากเลย ฉันเลยหยิบจาน ช้อนส้อม ไม้กวาด และตะเกียงไปใช้ วันรุ่งขึ้น พอเรามาถึงที่ทำงาน ก็ยังเห็นสิ่งของต่างๆมากมายกองไว้ที่เดียวกัน เลยถามผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเอาของออกวาง ว่า “เมื่อวานเราก็พบของใช้ที่ยังน่าจะใช้งานได้ดีอยู่วางกองอยู่แบบนี้ ทำไมถึงจะทิ้งมันหละ?” เธอกล่าวเบา ๆ ว่า “ อ๋อ เราแค่จะย้ายออฟฟิศนะ” ฉันเลยพูดว่า “อ๋อ เออ หวังว่าคุณจะชอบออฟฟิศใหม่ของคุณ” จากนั้นฉันก็เข้าไปในลิฟต์และรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเพื่อนข้างออฟฟิศที่ดี (รึเปล่านะ) © kolakovskijj1 / Pikabu

    เรื่องที่หก

ผมมองหน้าภรรยาโดยผ่านจากในกระจก แล้วถามเธอว่าเธอเห็นผมไหม และเธอเห็น ผมเลยขยับไปด้านข้างมากขึ้น และมองไปที่หน้าเธอในกระจกอีก แล้วถามว่าตอนนี้ยังเห็นอยู่ไหม ภรรนาผมเลยตอบว่า “นี่ … คุณรู้ใช่ไหมว่า ถ้าคุณสามารถมองเห็นหน้าฉันในกระจกได้ ฉันก็เห็นคุณเหมือนกัน” เออชัดเจนมาก แต่มันทำให้ผมรู้สึกแย่ (เพราะผมไม่รู้มาก่อนเลย) © WannieTheSane / Reddit

    เรื่องที่เจ็ด

ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่า การกินแครอทจะทำให้ทุกคนรู้สึกเบลอ ๆ งง ๆ เหมือนกับเวลาเราหมุนตัวไปรอบๆ สัก 4-5 รอบ สรุปหลังจากไปหาเพื่อบ้านแล้วเค้ามีอาหารที่ทำจากแครอท แต่ทุกคนทานแล้วไม่มีอาการอะไรเลย ผมเลยเริ่มถามคนอื่นๆ ว่าเป็นเหมือนผมไหม แล้วสักพักเพื่อนๆ ก็ลงความเห็นกันว่า ผมน่าจะแพ้แครอท © Canwerevolt / Reddit

    เรื่องที่แปด

มันเกิดขึ้นเมื่อผมอยู่ปีสองในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นผมคุยกับผู้หญิงแสนดีคนหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งเธอชวนผมไปดื่มชาที่บ้าน พอผมไปถึงเลยเอาขนมให้เธอ แล้วเธอก็ถามว่า “นี่นายมาที่นี่เพื่อดื่มชาเท่านั้นหรือ?” ผมยิ้มเล็ก ๆ และบอกว่า “ก็มาเพื่อคุยกับคุณไง” แล้วก็เดินไปที่ห้องครัว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ เราคุยกันจนดึกและดื่มชาหลายถ้วยแล้วผมก็กลับบ้าน หลังจากวันนั้นเรายังคุยกันอยู่ตลอด จนผมเรียนจบและเธอก็มีแฟน ผ่านมา 2 ปี ตอนนี้ผมถึงเพิ่งเข้าใจว่า ในวันนั้นเธอกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง แต่ผมพลาดไปแล้ว … © Tvoi.gospodin19 / Pikabu

    เรื่องที่เก้า

ใครจะไปคิดว่านอกจากไม้กวาดแล้ว เราจะเอาผ้าแห้งมากวาดบ้านได้ แอดเองก็จุ่มน้ำเหมือนกัน (ผ้าที่ใช้ในภาพคือผ้าไมโครไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติในการเก็บฝุ่นได้ดีตอนที่ผ้าแห้ง) © kojoru / twitter, © aliexpress

    เรื่องที่สิบ

ครั้งหนึ่งเราไปกินข้าวกับเพื่อนคนหนึ่ง เรากินอาหารกับมันฝรั่งทอดด้วยกัน เราพูดขึ้นมาว่าอาหารจานนี้มีกลิ่นขึ้นฉ่ายแรงมาก แต่เพื่อนดันพูดขึ้นมาว่ามันไม่ได้รสอื่นเลยนอกจาซาลารี่ จากนั้นเราเถียงกันยู่ 2-3 นาทีด้วยความไม่เชื่อว่าทำไมกินอาหารจานเดียวกันแต่รส“ แตกต่าง” กันคนละแบบ ผ่านไปหลายวันเราเดินไปเห็นที่ห้างว่าซาลารี่ที่เธอพูดถึง ก็คือขึ้นฉ่ายต้นใหญ่ๆนั่นเอง … แล้วความจริงก็ปรากฏ © Growinlove / Reddit

    เรื่องที่สิบเอ็ด

เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเรา แล้วก็แอบคิดว่า“ ว้าว! ดูมีสไตล์จัง” เขาสวมเสื้อโค้ทยาวสีดำและใส่ผ้าพาดไหล่ พอเข้ามาใกล้ๆ เราก็รู้ว่าเขาเป็นบาทหลวง (สรุปนี้เราต้องมีแว่นตาแล้วใช่ไหม)© crmwllwll / Twitter

    เรื่องที่สิบสอง

ตอนยังเด็ก ไม่รู้ทำไมเราไม่ชอบขนมปังปิ้งเลย แต่พ่อแม่ก็พยายามทำให้เรากินอยู่เสมอ แต่เราก็ปฏิเสธทุกครั้ง ในทางกลับกัน ย่าตัดสินใจที่จะลองวิธีที่แตกต่างออกไป ย่าแอบหยิบขนมปังปิ้งโดยไม่ให้เราเห็นแล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ทาเนยรอบ ๆ แล้วเรียกมันว่า “โทสต์” เราชอบมันมากและกินมันมาตลอด ตอนนี้อายุ 22 ปี แล้ว เพิ่งรู้ตัวเองว่าชอบกินขนมปังทาเนยมากมาก 555 © Cosplaybaby13 / Reddit

    เรื่องที่สิบสาม

แฟนเรา ดูตื่นเต้นมากเพราะเค้าเพิ่งซื้อแปรงสีฟันระบบไฟฟ้ามาใหม่ เมื่อมาถึงบ้านเค้าก็รีบชาร์ตและนำมาใช้ในวันรุ่งขึ้นทันที แต่พอเริ่มใช้ เค้าก็ลงมาโทรแจ้งพนักงานขายว่าแปรงมันเสีย มันทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาเลยขอส่งมันคืนและต้องรอตัวใหม่ส่งมาให้ในอีก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น สองถึงสามวันเราไปทานอาหารที่บ้านของเพื่อนสมัยเด็ก และพบว่าในห้องน้ำมีแปรงไฟฟ้าอยู่ด้วย เราเลยถามว่าใช้ดีไหม เพื่อนเราตอบมาว่า “มันดีมาก เพราะมีระบบที่จะหยุดทำงานเมื่อเราแปรงฟันนานเกินไป หรือ มีการกดแปรงหนักเกินไป ” พอฟังแบบนั้นเราก็รู้เลยว่าแปรงของเราไม่ได้เสียแต่เป็นที่แฟนเราเองที่กดแปรงแรงเกินไป (คิดในใจว่านี้เราต้องส่งของไปเปลี่ยนและต้องรออีกหลายวันเลยนะเนี้ย)© rileyjw90 / Reddit

คุณเคยมีเรื่องเปิ่น ๆ แบบนี้บ้างไหมไม่? ลองแบ่งปันเรื่องราวน่ารัก ๆ ของคุณและความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องเล่าของเราในเพจของเราสิ!

เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน