7 เรื่องสั้นน่ารักจากครอบครัวที่แสนภาคภูมิใจ

สำหรับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นคงมีหลายหลายเรื่องที่ทำให้เราอินและอีกหลายเรื่องที่เราแค่ปล่อยผ่านไปแต่ถ้าเป็นเรื่องน่ายินดีแล้วละก็แน่นอนว่าพวกเราส่วนใหญ่ก็อยากจะมีส่วนรวมในความรู้สึกและช่วงเวลานั้นด้วยและถ้ายิ่งเป็นคนในครอบครัวของเราที่สร้างความประทับใจให้กับเราแล้วละก็เรื่องราวเหล่านั้นถึงคนอื่นอาจจะมองว่ามันเล็กน้อยแต่กับเราแล้วมันช่างยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อแม่ยืดอกภูมิใจแล้วละก็มันก็ไม่พ้นเป็นเรื่องของเหล่าลูกๆ นั้นเองใช่แล้ววันนี้พวกเราเพลินเพลินได้อ่านไปพบเรื่องราวที่ฟังแล้วทำให้เราคิดตามไปว่าถ้าเราเป็นพ่อแม่แล้วมีลูก ๆ แบบนี้เราจะยิ้มกว้างได้ขนาดไหนกันนะ
และแน่นอนว่าพวกเราทุกคนที่เป็นพ่อหรือแม่นั้นมักจะต้องมองดูลูก ๆ ของเราและคิดว่าพวกเขาดีที่สุด เราเข้าใจความรู้สึกของผู้ปกครองคนอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อเราได้อ่านเรื่องราวน่ารักแบบนี้แล้วเราก็ต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้กับเพื่อนเพื่อนด้วยเพื่อรอยยิ้มและความรู้สึกดีดีจะได้ส่งต่อถึงกัน

เรื่องน้องเพิ่งสี่ขวบเอง
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ของฤดูร้อนซึ่งอากาศมันช่างร้อนมากมาก เมื่อคุณแม่สามีมาเยี่ยมเราที่บ้านระหว่างที่เรากำลังเตรียมอาหารเย็นและจัดโต๊ะอาหารอยู่ในห้อง จู่จู่คุณแม่สามีก็บอกว่าลูกชายของฉัน (ที่ตอนนี้อายุแค่ 4 ขวบ) ไม่เห็นจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกบ้านเลยเอาแต่นั่งเล่นอยู่ในห้องเหมือนเด็กผู้หญิง ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นแต่แล้ว ลูกสาวฉัน (ตอนนี้เธออายุ 6 ขวบ) ก็ทำถ้ายิ้มแล้วพูดเบาๆ แทรกขึ้นมาว่า “หนูไม่ได้เถียงคุณย่านะ แต่น้องเขาอายุแค่ 4 ขวบเอง และการที่เด็กจะชอบหรือเลือกเล่นอยู่ในห้องมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหมือนหรือเป็นแบบไหน มันก็แค่การเล่นในห้องเท่านั้นเอง” เราและคุณแม่สามีมองหน้ากันเล็กน้อยและเราก็รู้ได้ทันที่ว่า พี่สาวตัวน้อยกำลังพูดเพื่อปกป้องน้องชายของเธอด้วยความรัก

เรื่องหนูอาสา
เมื่อปีที่แล้วตอนที่สามีของเราไปทำงานที่ต่างประเทศซึ่งนั้นทำให้เราต้องอยู่กับลูกแค่สองคน วันหนึ่งตอนที่เราออกไปจ่ายตลาดเราเดินพลาดไปทำให้ข้อเท้าเจ็บและเดินลงน้ำหนักไม่ได้ ซึ่งนั้นทำให้เราต้องอยู่ที่บ้านและพยายามเดินให้น้อยที่สุด แต่ในเช้าวันจันทร์เป็นวันนัดประชุมผู้ปกครองเพื่อไปรวมฟังบรรยายสิ่งที่ทางโรงเรียนต้องการให้ผู้ปกครองเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตและวิธีการพัฒนาความรู้หรือค้นหาสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนในเทอมต่อไป ซึ่งระหว่างที่เรากำลังโทรศัพท์เพื่อไปปรึกษาเรื่องที่เราเดินทางไปไม่สะดวกอยู่นั้น ลูกของเราก็พูดขึ้นว่า “หนูอาสาไปอัดเสียงการประชุมและทำรายงานแทนได้นะ แม่จะได้พักผ่อนเยอะๆ” เราฟังแล้วอิ่มใจมากมาก ถึงแม้ว่าเราและคุณครูกำลังคุยกันเรื่องที่จะใช้ระบบออนไลน์เพื่อให้เราสามารถรับฟังการประชุมได้อยู่แล้ว แต่คำพูดง่าย ๆ ของลูกเราก็ทำให้เรารู้ว่าเขาห่วงใยเราแค่ไหน

เรื่องอุ้มลงเก้าอี้หน่อย
ในวันกีฬาที่โรงเรียนของทุกปีจะมีการให้ผู้ปกครองและเด็กได้ร่วมสนุกไปกับการเล่นกีฬาต่าง ๆ เพื่อเป็นการทำความรู้จักกันทั้งพ่อแม่และครอบครัวอื่น ๆ แต่ในระหว่างที่เราและลูกชายตัวน้อยกำลังมองดูภรรยาของเราลงเล่นเกมวิ่งไล่จับซึ่งตอนนั้นภรรยาของเรากำลังได้เล่นในตำแหน่งที่ต้องวิ่งหลบให้ได้ จู่ๆลูกของเราก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อพ่อ อุ้มหนูลงจากเก้าอี้หน่อยมีใครไม่รู้กำลังวิ่งไล่แม่อยู่ เดียวหนูจะต้องรีบไปช่วยแม่แล้ว” แค่นั้นเราก็ยิ้มและรู้ได้ทันที่เลยว่าลูกของเรารักและพร้อมจะดูแลพวกเราแค่ไหน

เรื่องได้เที่ยวทุกอาทิตย์
เราสองสามีภรรยาทำงานเป็นมัคคุเทศก์ตั้งแต่หนุ่มจนมาถึงตอนนี้ก็ 30 กว่าปีแล้ว โดยทำหน้าที่บรรยายเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบมากมากและลูกชายของเราก็มักจะอยู่กับเราในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือจนกระทั่งตอนนี้ เข้าเรียนจบเป็นพนักงานบริษัททำงานในห้องแอร์อยู่ในตึกใหญ่ในเมืองแล้ว แต่เราสองสามีภรรยาก็ยังชอบที่จะทำงานเป็นมัคคุเทศก์ ถึงแม้ว่าจะลดเวลาเหลือแค่เป็นวันเสาร์ หรือ อาทิตย์แต่วันเดียวแล้วก็ตามเพราะเราเริ่มแก่กันมากแล้วแต่ก็ยังชอบที่จะออกมาเจอคนใหม่ ๆและได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยว อีกทั้งลูกของเราเค้าก็ยังกลับมาหาเราและไปช่วยเราสองคนสามีทำงานมัคคุเทศก์ นำนักท่องเที่ยวเดินรอบสถานที่และช่วยอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เสมอและหลายครั้งที่เราบอกลูกไปว่าไม่ต้องมาทำแบบนี้ในวันหยุดหรอกเอาเวลาไปพักเพื่อจะได้ไปทำงานในวันจันทร์เถอะ แต่ลูกก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เหนื่อยหรอกมันมีความสุขมากกว่า มันก็เหมือนกับพวกเราได้ไปเที่ยวด้วยกันทุกอาทิตย์ทั้งครอบครัว”

เรื่องของขวัญที่สร้างความภูมิใจ
ตอนที่ลูกของเราใกล้จะเรียนจบมัธยมต้น ซึ่งต้องสอบเข้ามัธยมปลายโดยใช้คะแนนสอบตอนที่เรียนม.ต้นนั้นเอง เราและภรรยาเลยบอกไปว่าถ้าลูกทำคะแนนได้อันดับดีขึ้นมากมากเราจะซื้อของที่เขาต้องการให้ซึ่งเด็ก ๆ ก็คงอยากจะได้โทรศัพท์หรือแท็บเล็ตนั้นเองซึ่งมันก็ช่วยได้้จริง ๆ เพราะเทมอนั้นคะแนนของเขาเป็นอันดับเก้าของชั้นซึ่งวันที่เราพาลูกไปที่ห้างเพื่อที่จะซื้อของที่เค้าต้องการซึ่งลูกของเราก็ขอที่จะซื้อโทรศัพท์จริง ๆ แต่สิ่งที่เราแปลกใจมากก็คือแทนที่จะเลือกรุ่นใหม่ราคาสุดลูกของเราหันกลับมาถามเราว่าถ้าเขาเลือกรุ่นที่เก่ากว่านั้นแต่ของสองเครื่องได้หรือไม่ซึ่งเราก็เห็นว่ายังอยู่ในงบเราก็เลยอนุญาติไปโดยไม่ถามอะไร แต่ระหว่างทางกลับบ้านเขาขอให้เราไปสิ่งที่บ้านเพื่อนก่อนและพอเราถามว่าจะไปทำไมเขาก็ตอบว่า “ผมจะเอาโทรศัพท์ไปให้เพื่อนครับ เราช่วยกันเรียนและช่วยกันอ่านหนังสือเลยทำให้เราทำคะแนนได้ดีขึ้น” ผมอยากแบ่งรางวัลที่ได้มาให้เพื่อนด้วยเพราะเครื่องเก่าของเค้าก็เสียแล้วเหมือนกัน (ลูกทำให้เราภูมิใจขึ้นไปอีกเพราะนอกจากเขาจะเรียนได้ดีขึ้นแล้วเขายังมีความคิดดีดีต่อเพื่อนแบบนี้ด้วย)

เรื่องป้ายบอก
ในวันเทศกาลไข่อีสเตอร์ ที่เมืองของเราจะมีงานเทศกาลสำหรับให้เด็กได้รวมสนุกกันด้วยการซ่อนไข่พลาสติกไว้ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และเด็กๆก็จะสนุกกับการได้เก็บไข่พลาสติสสวย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็พาลูกของเราไปเล่นด้วยซึ่งพอเราหาเจอที่ซ่อนแรกแล้วและกำลังจะย้ายไปหาที่อื่นต่อลูกของเรากลับสะกิดเราและบอกว่า ทำไมเราไม่หากระดาษมาเขียนบอกว่ามีไข่อยู่นี้ละคนอื่น ๆ ที่มาที่หลังจะได้หาเจอได้ง่ายขึ้น (เรายิ้มและภูมิใจมากมากที่ลูกของเราช่างน่ารักและรู้จักเป็นห่วงคนอื่นจริง ๆ เลย)

เรื่องเสียงจากใจ
บางครั้งเด็กๆก็มีเรื่องที่เข้าใจมากกว่าที่พวกเราผู้ใหญ่นั้นคิดซะอีกในบางเรื่องพวกเขาก็เติบโตมากถึงขนาดที่เราคิดไม่ถึงเลย เรื่องมีอยู่ว่าในตอนที่ลูกของเรายังเด็กเราก็มีของเล่นต่าง ๆ มากมายให้เขาเล่นและของที่เขาชอบมากที่สุดก็คือชุดของเล่นคุณหมอและมันมีหูฟังที่เขาชอบใช้เล่นเสมอ ๆ ต่อมาวันหนึ่งเราและภรรยามีเรื่องไม่เข้าใจกันเล็กน้อยแต่พวกเราก็พูดกันเสียงดังจนลูกเดินเข้ามา ทันที่ที่เราเห็นพวกเราก็เงียบสนิทเพราะไม่อยากให้เจ้าตัวน้อยคิดว่าเราทะเลาะกัน แต่แล้วลูกก็ทำสิ่งที่เราคิดไม่ถึงเขาเดินเข้ามาเอาหูฟังของเล่นมาแนบที่ตัวเราแล้วก็พูดว่า “ลองฟังเสียงของใจตัวเองแล้วพ่อจะรู้ว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เรานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปกอดลูกและค่อยเดินเข้าไปกอดภรรยา หลังจากวันนั้นมาถึงเราจะมีเรื่องกันบ้างแต่พวกเราก็ไม่เคยเสียงดังกันอีกเลยเพราะเราต่างรู้ว่าที่เรามีกันและกันเสมอ

แล้วเพื่อนเพื่อนที่มีเรื่องราวดีดีต่าง ๆอีกละก็สามารถส่งมาให้พวกเราที่เพลินเพลินผ่านทางเพจของเราได้เลยนะ
เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน